พระมหาไพรวัลย์ วรวัณโณ พระนักเทศน์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก หลังทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องอดีตพระพรหมดิลก อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา และอดีตพระอรรถกิจโสภณ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสามพระยา ไม่มีความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ว่า ต้องไม่ใช่แค่การยกฟ้องแล้วจบกันไป ถึงเวลาที่ต้องทำอะไรให้เป็นมาตรฐาน ถ้าศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องอีก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องขอขมากรรมและการสำนึกผิดในที่สิ่งตนเองได้เคยกระทำ
ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง “อดีตพระพรหมดิลก” ไม่ผิดฟอกเงิน 5 ล้าน
โดยพระมหาไพรวัลย์ได้เสนอ 3 แนวทางให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติปฏิบัติตาม คือ 1ให้เสนอความเห็นต่อมหาเถรสมาคมพิจารณาสมณเพศให้พระพรหมดิลกในฐานะที่ท่านมิได้มีมลทินมัวหมอง 2.ให้ออกแถลงการณ์ประกาศยืนยันถึงความบริสุทธ์ ตลอดจนประกอบพิธีขอขมากรรมต่อพระเถระที่ถูกกล่าวให้เป็นผู้มีมลทิน และ 3.ให้เสนอไปยังรัฐบาลเพื่อให้พิจารณาคืนสมณศักดิ์ให้กับพระเถระเหล่านั้น
พระมหาไพรวัลย์ระบุว่า หวังว่า พศ.จะทำตามนี้ เพราะเห็นแก่ความเป็นธรรม เห็นแก่เพื่อความยุติธรรม และอย่าให้ในอนาคตมีพระที่ต้องมีชะตากรรมอย่างพระพิมลธรรมหรือพระพรหมดิลกอีกเลย
ตามหลักพระธรรมวินัยระบุไว้ว่า หากยังไม่เปล่งวาจาลาสิกขา ถือว่ายังไม่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ และในอดีตเคยมีพระเถระถูกดำเนินคดีและถูกคุมขังเป็นเวลานานหลายปี แต่ยังคงถือวัตรปฏิบัติเช่นเดียวกันกับขณะครองสมณเพศมาแล้ว คือพระพิมลธรรม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุญฯ ซึ่งถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตช์ นายกรัฐมนตรี สั่งจับกุมในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อปี 2505 หลังก่อนหน้านี้ ถูกกลั่นแกล้งจนถูกถอดออกจากสมณศักดิ์ไป เมื่อปี 2503
เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องเป็นผู้บริสุทธ์ในปี 2509 ก็กลับมาครองจีวรอีกครั้ง และได้รับพระราชทานคืนสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรม ตามเดิมในปี 2518 ในรัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ก่อนจะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ในปี 2528 ตำแหน่งสุดท้าย คือผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชระหว่างปี 2531-2532 ก่อนมรณภาพในวันที่ 8 ธ.ค. 2532
“พระพรหมดิลก” ปฏิเสธตอบปมเอี่ยวทุจริตเงินทอนวัด