ทรัมป์เตือน “ความสัมพันธ์กับจีนเสียหายรุนแรง” ตำหนิจีนไม่หยุดการระบาดของโควิด-19
ผู้นำจีน-สหรัฐฯ ยกหูหารือ หวังฟื้นสัมพันธ์รับมือโควิด-19
ในการประชุมประจำปีขององค์การสหประชาชาติ เป็นอีกครั้งที่ทรัมป์บอกให้จีนต้องรับผิดชอบกับการระบาดที่เกิดขึ้น ด้านจีนใช้จังหวะนี้สวมบทบาทมหาอำนาจใจดีในยามวิกฤต
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กล่าวบทสุนทรพจน์ในการประชุมสมัชชาใหญ่ประจำปีขององค์การสหประชาชาติ
ปีนี้ผู้นำทั่วโลกต่างกล่าวสุนทรพจน์ผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพราะการระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางมายังมหานครนิวยอร์ก ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ยูเอ็นได้
ทรัมป์พุ่งเป้าโจมตีไปที่จีน ว่าต้องรับผิดชอบต่อการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ลุกลามไปทั่วโลก และกล่าวหาองค์การอนามัยโลกว่าถูกครอบจำโดยจีน
เมื่อวานนี้องค์การอนามัยโลกเปิดเผยโครงการความร่วมมือแจกจ่ายวัคซีนอย่างเท่าเทียมที่เรียกว่า โคแวกซ์ มี 156 ประเทศเข้าร่วม แต่ไม่มีชื่อของสหรัฐฯ ในฐานะประเทศหนึ่งที่มีความคืบหน้าในการผลิตวัคซีน แต่ที่งานประชุมยูเอ็น ทรัมป์ประกาศว่า ยังไงสหรัฐฯ ก็จะแจกจ่ายวัคซีนเพื่อช่วยเหลือประเทศอื่น
ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ตอบโต้ทรัมป์ว่า จีนไม่คิดทำสงครามเย็นกับใคร
สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีของจีน กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมยูเอ็นว่า จีนไม่คิดทำสงครามกับประเทศใด และมีจุดยืนสนับสนุนสันติภาพของโลก และยังเตือนให้โลกระวังถึงความล่มสลายของอารยธรรม
นับเป็นการพยายามแสดงภาวะผู้นำของจีนบนเวทีโลก ในเวลาที่นโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ มีแนวทางชาตินิยม มากกว่าจะเล่นบทช่วยเหลือประเทศอื่นเหมือนในอดีต
ในขณะที่ทรัมป์ไม่ได้กล่าวอะไรเกี่ยวกับความร่วมมือของประชาคมโลกเท่าไหร่นัก กลายเป็นสี จิ้นผิงแทนที่บอกว่า ในวิกฤตแบบนี้ โลกต้องการความร่วมมือมากกว่าการเผชิญหน้า
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่มีโควิดเป็นจุดแตกหัก อาจส่งผลให้ขั้วอำนาจโลกเปลี่ยน และจีนจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากบทบาทใหม่นี้
ตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2017 เขาฉีกกฎเกณฑ์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ หลายอย่าง
เขาประกาศถอนตัวออกจากความตกลงปารีส ความตกลงว่าด้วยการพยายามลดภาวะโลกร้อน ถอนตัวออกจากความตกลงทางการค้าระหว่างประเทศภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP จนถึงหยุดให้เงินสนับสนุนองค์การอนามัยโลกในเวลาที่โลกต้องการความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ มากที่สุด เป็นการเปิดโอกาสให้จีนเข้ามาสวมบทบาทผู้นำของสหรัฐฯ
จีนบริจาคเงินให้องค์การอนามัยโลกเพิ่มจำนวน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังประเทศที่ขาดแคลน ในที่นี้รวมถึงยุโรป
การมีอำนาจมากขึ้นของจีน อาจส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ตึงเครียดมากขึ้นกว่าเดิม และนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างสองขั้วมหาอำนาจ เหมือนตอนยุคสงครามเย็น
ที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญ หากอเมริกาได้ไบเดนเป็นประธานาธิบดี ทิศทางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลง
แต่อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการยูเอ็นก็ออกมาเตือนแล้วว่า ให้โลกระวังยุคใหม่ของสงครามเย็น