วันที่ 1 ต.ค. 2563 จะเป็นการเฉลิมฉลองวันชาติจีน ซึ่งความสำคัญของปีนี้คือ นี่เป็นปีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะครบรอบ 99 ปี เมื่อเรามองย้อนกลับไปดูการเมืองและความมั่นคงตลอด 99 ปีที่ผ่านมาของจีน ภายใต้การบริหารงานของพรรคคอมมิวนิสต์ พวกเขาส่งต่อนโยบายและความสำเร็จรุ่นต่อรุ่น คล้ายกับการส่งไม้วิ่งผลัดก็ไม่ผิด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้ระบบ collective leadership คือการทำงานร่วมกันเป็นทีมของกลุ่มผู้นำสูงสุดของพรรค โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวทุกๆ 5 ปี และจะเปลี่ยนทีละครึ่งทีม เพื่อให้มีคนเก่าและคนใหม่เข้ามาทำงานร่วมกัน จนกระทั่งเมื่อปี 2017 ที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบบนี้ก็เปลี่ยนแปลงไป นั่นเป็นเพราะจีนมีผู้นำตลอดกาลคนใหม่ที่ชื่อว่า สี จิ้นผิง
“สี จิ้นผิง” ลั่น ไม่มีกองกำลังใด สั่นคลอนจีนได้
ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของสี จิ้นผิง จีนรุดหน้าพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เขาสามารถรับไม้ต่อจากผู้นำรุ่นเก่าได้อย่างดีเยี่ยม ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้วิเคราะห์ไว้อย่างหน้าสนใจว่า ตัวสี จิ้นผิงเองมีบุคลิกของผู้นำคนก่อนหน้าของจีนหลายๆ คนรวมไว้ด้วยกัน นั่นทำให้จีนประสบความสำเร็จ บรรลุเป้าหมายต่างๆ ที่วางไว้เป็นอย่างดี
จึงไม่น่าแปลกใจที่ถึงแม้จีนจะเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ แต่นโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ยังคงมุ่งมั่นตามที่รัฐบาลรุ่นก่อนได้วางเอาไว้ โดยปีนี้ ความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิงมีหลักๆ สามประการคือ
1. การรับมือกับโควิด-19
2. การขจัดความยากจน
3. นโยบายจีนเดียว หนึ่งประเทศ สองระบบ
ที่จีนได้ยึดมั่นมาโดยตลอด ซึ่งในขณะนี้ จีนก็เผชิญกับความท้าทายกับการใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติกับเกาะฮ่องกงอยู่ แต่นี่ก็คืออีกหนึ่งนโยบายที่มีการวางแผนเอาไว้ในระยะยาว ย้อนกลับไปในอดีต ฮ่องกงเคยเป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้ติดต่อกับโลกภายใน แต่มาบัดนี้ จีนกำลังเปลี่ยนบทบาทของฮ่องกง และทั้งหมดที่จีนกำลังทำคือการเตรียมความพร้อมให้ฮ่องกงกลับไปสู่จีนอย่างสมบูรณ์อีกครั้งหลังปี 2047
ความต่อเนื่องในนโยบาย การวางแผนระยะยาว และตัวผู้นำที่เข้มแข็ง ทำให้จีนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่ประเทศใดก็ปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะไทย เพราะในแง่ของภูมิศาสตร์แล้ว เราอยู่ห่างจากชายแดนจีนเพียง 200 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น ดังนั้นการดำเนินนโยบายด้านการเมืองและความมั่นคงกับจีน ไทยจึงสมควรต้องมีความระมัดระวังและวางตัวให้เป็นกลาง ดร.ปิติยังได้ทิ้งท้ายเอาไว้อย่างน่าสนใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนที่ต้องรักษาระยะห่างให้ได้ที่สุด
จีนประกาศเป็นผู้นำโลกต่อการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์