เปิด 8 ตัวยา-อาหารเสริมที่ใช้ในการรักษาโควิด-19 ของทรัมป์


โดย PPTV Online

เผยแพร่




รวบรวมรายละเอียดการรักษาโควิด-19 ของทรัมป์ที่ได้รับการเปิดเผยออกมา

ทีมแพทย์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังใช้วิธีการรักษาโควิด-19 หลากหลายวิธี รวมถึงใช้ยาที่อยู่ในขั้นการวิจัย ด้วยหวังว่าจะบรรเทาอาการโควิด-19 ของทรัมป์ และทำให้อาการเจ็บป่วยสั้นลง

เผย “ทรัมป์” ป่วยโควิด-19 อาจมีอาการหนักกว่าทำเนียบขาวแถลง

ทรัมป์ออกจากโรงพยาบาลมาทักทายผู้สนับสนุน แพทย์เผยวันนี้อาจกลับบ้านได้

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าแพทย์กำลัง “ทำทุกอย่าง” เพื่อรักษาทรัมป์จากโควิด-19

แม้จะยังคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับอาการป่วย “ที่แท้จริง” ของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่เบื้องต้นแล้ว นี่คือรายละเอียดการรักษาโควิด-19 ของทรัมป์ที่ได้รับการเปิดเผยออกมา

โมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody REGN-COV2)

บ่ายวันศุกร์ (2 ต.ค.) ทำเนียบขาวกล่าวในแถลงการณ์ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการรักษาโควิด-19 ด้วยโมโนโคลนอลแอนติบอดี ขนาด 8 กรัม ที่ผลิตโดย บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพรีเจเนรอน (Regeneron)

นักวิทยาศาสตร์ของรีเจเนรอน ได้เลือกแอนติบอดี 2 ตัวที่ต่อต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ดีที่สุดในการทดสอบในห้องปฏิบัติการมาใช้ในการรักษา โดยในการวิจัยใช้ชื่อว่า REGN-COV2 ซึ่งได้รับการทดลองทางคลินิกตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

เบื้องต้นจากการทดสอบกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล 275 ราย แสดงให้เห็นว่า การรักษานั้นปลอดภัย และดูเหมือนว่าจะลดระดับไวรัสลงได้และทำให้อาการดีขึ้น แต่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบซ้ำโดยนักวิจัยภายนอก

การรักษาด้วยค็อกเทลแอนติบอดียังดูเหมือนจะช่วยลดความจำเป็นในการเข้ารับการรักษา โดยไม่มีใครป่วยถึงระดับที่จะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในช่วงเริ่มต้นของการทดลองนี้

แนวทางการรักษาด้วยค็อกเทลแอนติบอดีของรีเจเนรอนไม่ได้รับการรับรองให้ใช้งานจริง และไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) แต่รีเจเนรอนอยู่ระหว่างการเจรจากับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อดูว่า FDA จะพิจารณาอนุญาตในอนาคตอันใกล้หรือไม่

เรมดิซิเวียร์ (Remdesivir)

ในระหว่างการรายงานสรุปเมื่อวันเสาร์ (3 ต.ค.) ทีมแพทย์ที่ให้รักษาบอกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังได้รับยาเรมดิซิเวียร์ เป็นเวลา 5 วัน เพื่อลดระยะเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วยโควิด-19

ดร.ไบรอัน การิบัลดี (Brian Garibaldi) หนึ่งในทีมแพทย์ที่รักษาทรัมป์ที่ศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติวอลเตอร์ รีด กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า "เมื่อเย็นวานนี้ เขาได้รับเรมดิซิเวียร์เป็นครั้งแรก และแผนของเราคือให้ยาเรมดิซิเวียร์ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน"

ในการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 3 ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ JAMA ในเดือนสิงหาคม พบว่า เรมดิซิเวียร์สามารถฟื้นฟูผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคปอดบวมจากโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว

การศึกษายังพบว่า ผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรงปานกลางที่ได้รับยาเรมดิซิเวียร์เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน มีแนวโน้มที่จะมีอาการดีขึ้นหลังภายใน 11 วัน เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับการดูแลตามมาตรฐานเพียงอย่างเดียว

เดิมที FDA ได้อนุญาตให้ใช้เรมดิซิเวียร์ในผู้ป่วยโควิด-19 กรณีฉุกเฉินเท่านั้นในเดือนพฤษภาคม และจำกัดเฉพาะผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาขั้นรุนแรงที่ต้องการออกซิเจนเพิ่มเติมหรือต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ จากนั้นในวันที่ 28 สิงหาคม FDA ได้ขยายการอนุญาตให้ใช้ยาเรมดิซิเวียร์แก่ผู้ป่วยโควิด-19 ทุกรายที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรุนแรงของโรค

สหรัฐฯ ตุนยา “เรมดิซิเวียร์” กว้านซื้อจากทั่วโลก

เดกซาเมทาโซน (Dexamethasone)

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับยาเดกซาเมทาโซนเมื่อวันเสาร์ หลังจากระดับออกซิเจนลดลงชั่วขณะ แต่โดยทั่วไป ยานี้จะให้กับผู้ป่วยที่อาการหนักจนต้องการเครื่องช่วยหายใจ

ในสหรัฐอเมริกามีการใช้เดกซาเมทาโซนในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 บางรายตั้งแต่ช่วงต้นของการระบาด โดยมีแพทย์บางคนออกมาเตือนว่า "ไม่ใช่วิธีการรักษาโรคโควิด-19 ในสภาวะที่ไม่รุนแรง"

ในเดือนมิถุนายน ผลการศึกษาเบื้องต้นจากการศึกษาแบบสุ่มขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักรพบว่า การใช้ยาเดกซาเมทาโซนในขนาดต่ำเป็นเวลา 10 วันช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลง 1 ใน 3 ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ การทดลองดังกล่าวทดสอบกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประมาณ 6,400 คน

สาธารณสุขอังกฤษแนะนำว่า "เราไม่แนะนำให้ใช้ยาเดกซาเมทาโซนในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ระดับออกซิเจนปกติ”

สังกะสี หรือ ซิงค์ (Zinc)

ซิงค์เป็นแร่ธาตุอาหารตามธรรมชาติที่พบในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับแบคทีเรียและไวรัสภายนอกได้ โดยมีการกินซิงค์เพื่อลดระยะเวลาของการเป็นหวัด แต่เบื้องต้นไม่มีหลักฐานว่าสามารถใช้รักษาโรคโควิด-19 ได้

FDA ได้ออกจดหมายเตือนไปยังบริษัทบางแห่งที่พยายามอ้างว่า ผลิตภัณฑ์ซิงค์ของตนสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของโควิด-19

วิตามินดี (Vitamin D)

วิตามินดีนั้นดีต่อสุขภาพของกระดูก สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งผ่านอาหาร แสงแดด และอาหารเสริม เหมาะสำหรับผู้ที่มีความบกพร่อง แต่ไม่มีหลักฐานเช่นกันว่า วิตามินดีจะช่วยลดความเสี่ยงของโควิด-19 ได้โดยตรง

FDA ได้ออกจดหมายเตือนไปยังบริษัทบางแห่งที่คาดว่าจะขายผลิตภัณฑ์วิตามินดีโดยโฆษณาว่าสามารถลดความเสี่ยง หรือรักษาโควิด-19 ได้

นอกจากนี้ การรับประทานวิตามินดีมากเกินไปอาจทำให้เกิดการสะสมของแคลเซียมในเลือดที่เป็นพิษ ทำให้มีอาการมึนงง มีปัญหาเกี่ยวกับจังหวะการเต้นของหัวใจ อาจปวดกระดูก สร้างความเสียหายให้ไต และอาจเป็นนิ่วในไต

งานวิจัยพบ ผู้ที่ขาดวิตามินดี อาจเสี่ยงติดโควิด-19 ง่ายกว่า

ฟาโมทิดีน (Famotidine)

แถลงการณ์ของทำเนียบขาวยังระบุด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์รับประทานยาฟาโมทิดีน ซึ่งมักใช้ในการรักษาแผลในกระเพาะ อาการเสียดท้องและอาหารไม่ย่อย โดยการลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ Gut ในเดือนมิถุนายน ระบุว่า ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 10 รายที่รับประทานยานี้ขณะรักษาอาการป่วยที่บ้าน มีอาการป่วยบรรเทาลง

ทั้งนี้ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาดังกล่าวงมีน้อยเกินไป จึงจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการรักษาโควิด-19 ด้วยฟาโมทิดีน

เมลาโทนิน (Melatonin)

เมลาโทนินเป็นยาอีกหนึ่งชนิดที่ทรัมป์ได้รับ โดยเป็นยาที่จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบประโยชน์ที่มีต่อผู้ป่วยโควิด-19 แต่การศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่า เมลาโทนินสามารถช่วยผู้ป่วยโควิด-19 ที่เป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนได้

บทความที่ตีพิมพ์ใน European Journal of Pharmacology ได้ทบทวนการศึกษาที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สมองสร้างขึ้น และมีประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัส โรคอ้วน โรคเบาหวาน และการอักเสบ

นักวิจัยจาก Mansoura University ในอียิปต์ระบุว่า "มีความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นกับอัตราการลดลงของเมลาโทนินในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุ"

แอสไพริน (Aspirin)

สำหรับแอสไพริน เป็นยาที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการแข็งตัวของเลือดได้ โดยมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าโควิด-19 สามารถกระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดในผู้ป่วยบางราย

การศึกษาที่โรงพยาบาล Xijing ในประเทศจีน และศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพมหาวิทยาลัยหลุยเซียนาในนิวออร์ลีนส์ กำลังตรวจสอบประสิทธิภาพที่เป็นไปได้ของแอสไพรินในผู้ป่วยโควิด-19

เรียบเรียงจาก CNN

ภาพจาก AFP / Getty Image

TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ