จ่อยกระดับชุมนุมหากหลัง 4 ทุ่มคืนนี้ นายกฯ ไม่ลาออก
"ไผ่ ดาวดิน" ย้ำนายกฯ ต้องลาออกก่อน 4 ทุ่ม
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมร่วมรัฐสภา ในสัปดาห์หน้า ว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้มีการเตรียมพร้อมอะไรเป็นพิเศษ พร้อมตอบทุกประเด็น ทุกปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ถือว่าเป็นความตั้งใจที่ดีของนายกรัฐมนตรี ที่จะให้รัฐสภามีส่วนร่วมในการแนะนำ หรือเสนอความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เพื่อหาทางออกของประเทศร่วมกัน เรามีจุดยืนที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองด้วยระบอบรัฐสภา ต้องหาบทสรุปโดยสันติวิธี ส่วนพรรคพลังประชารัฐ มองว่า นายกรัฐมนตรีไม่ต้องลาออก เพราะไม่ได้ทำผิดอะไรไม่ว่าจะเรื่องจริยธรรม หรือทุจริตคอรัปชั่น สิ่งที่มีการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก เป็นเรื่องเรียกร้องที่เกินไป ส่วนประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องมีการพูดคุยกัน ทั้งในฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล เพื่อหาทางออกร่วมกัน ทั้งนี้ทางพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่า จะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดที่1 และ 2 เป็นจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ
ส่วนเรื่องสถานการณ์การชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า มองว่าอยากให้เกิดการชุมนุมโดยงสบ สันติ และเปิดเผย ตามระบอบประชาธิปไตย อยู่ในกฎหมาย ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น แม้จะมีความเห็นต่างก็อยากให้เคารพสิทธิของกันและกัน คิดว่าน่าจะมีการตัดสินใจร่วมกัน มาหาวิธีพูดคุยกัน ข้อไหนทำได้ ข้อไหนทำไม่ได้ เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อ เกิดความสงบ อยากให้มาร่วมพูดคุยเจรจากัน ข้อเรียกร้องที่เสนอให้รัฐบาลต้องทำทั้งหมดมองว่าอาจจะเกินของขอบเขตไป อยากให้มาพูดคุยเจรจากัน
ด้าน กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงกรณี สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ ได้เผยแพร่ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมในประเทศไทย นั้น ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ ขอชี้แจงถึงข้อห่วงกังวลที่ปรากฏ เช่น เรื่องการจับกุม การใช้น้ำฉีดแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุม การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยทุกประเด็น ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมกันชี้แจง ในการบรรยายสรุปต่อคณะทูตและองค์การระหว่างประเทศแล้ว เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 โดยผู้แทนสำนักงาน ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย ได้เข้าฟังด้วย รวมทั้งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้หารือกับข้าหลวงเพื่อใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ เกี่ยวกับสถานการณ์ชุมนุมในประเทศไทย เพื่อชี้แจงเพิ่มเติม โดยเฉพาะการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงฯ และได้ย้ำว่า ไทยยึดมั่นในพันธกรณีระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รวมทั้ง รัฐบาลไทยรับมือระหว่างข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังเงียบ (silent majority) อย่างสมดุล และ ที่สำคัญกระบวนการทางยุติธรรมและศาลมีความเป็นอิสระ โดยล่าสุดศาลมีคำสั่งยกเลิกคำร้องของกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อปิดสื่อบางแห่งแล้ว ทั้งนี้ในช่วงระหว่างวันที่ 22 – 23 ตุลาคมที่ผ่านมา มีสำนักข่าวบางแห่ง ได้รายงานข่าวเรื่องท่าทีของกลุ่มผู้เสนอรายงานพิเศษฯ โดยสรุปเนื้อหาคลาดเคลื่อนว่า กลุ่มผู้เสนอรายงานพิเศษฯ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ข้อเท็จจริง คือ เรียกร้องให้ปล่อยตัว “บุคคลที่ถูกจับกุมเพียงเพราะใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐาน” หรือ ผู้ชุมนุมทั่วไป ซึ่งมีความหมายที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ