วันนี้ (9 ก.ค. 58) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ทางการจีนยังคงใช้ความพยายามอย่างหนักในการควบคุมและแก้ไข "ภาวะฟองสบู่แตก" ในตลาดหลักทรัพย์ของจีน ซึ่งปรับตัวลดลงมากเกือบร้อยละ 30 ภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสูงกว่า 3.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 105 ล้านล้านบาท) ล่าสุด คณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) ได้ออกมาตรการห้ามไม่ให้นักลงทุนที่ถือครองหุ้นเกินร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาลหรือเอกชน ขายหุ้นเป็นเวลา 6 เดือน โดยผู้ที่ฝ่าฝืนอาจต้องรับโทษสถานหนัก แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าบทลงโทษเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจีนจะได้ออกมาตรการต่างๆ ในการยุติการปรับตัวลดลงดังกล่าว แต่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพซิตเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาก็ยังคงปรับตัวลง 3.6% ฉุดให้ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกง ซึ่งมีความผูกพันกับตลาดหุ้นจีน ปรับตัวลดลง 0.5% ในช่วงแรกของการซื้อขาย นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจีนยังได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นในเอเชีย และสหรัฐฯ ที่ถูกกดดันจากภาวะดังกล่าว ปรับตัวลดลงไปตามๆ กันด้วย
ขณะเดียวกันทางการสหรัฐฯ ได้แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ของตลาดหลักทรัพย์ในจีน ว่าอาจส่งผลกระทบต่อตลาดเงินทั่วโลกและกระทบต่อนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนในระยะยาว เนื่องจากมีรายงานว่า ความตื่นตระหนกและการเทขายหุ้นที่เกิดขึ้นได้กระทบต่อความเชื่อมั่นและทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของจีนทั้งที่นครเซี่ยงไฮ้และเมืองเซินเจิ้นกว่า 1,400 บริษัท หรือเกือบครึ่งของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมใจกันระงับการซื้อขายชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนประกาศมาตรการหลายอย่างเพื่อชะลอไม่ให้ตลาดหุ้นร่วงมากเกินไป ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้บริษัทประกันภัยซื้อสินทรัพย์ในหุ้นมากขึ้น และโครงการให้เข้าซื้อหุ้นของบริษัทขนาดเล็ก
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า การปรับฐานที่รุนแรงของตลาดหุ้นจีนนี้เป็นผลมาจากข้อจำกัดใหม่ในการเข้าควบคุมการลงทุนโดยใช้เงินกู้ (มาร์จิ้นโลน) และความกังวลว่าตลาดมีมูลค่าสูงกว่าความเป็นจริง
