“ทีดีอาร์ไอ” แนะรัฐบาลปฏิรูปกลไกบริหารจัดการนักเรียนทุนทั้งระบบ


โดย PPTV Online

เผยแพร่




ทีดีอาร์ไอ ชี้ปัญหาหนีทุนการศึกษาเป็นเพียงส่วนเดียวของปัญหาทั้งหมด  แนะรัฐบาลปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการนักเรียนทุนทั้งระบบ โดยบริหารแบบรวมศูนย์ผ่านคณะกรรมการระดับชาติ และตั้งเป้าหมายในการให้ทุนที่ชัดเจน 

 

กรณีที่อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดลรายหนึ่ง ซึ่งได้ทุนรัฐบาลเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว ไม่ยอมกลับมาชดใช้ทุนและทำให้ผู้ค้ำประกันต้องชดใช้ทุนแทน เป็นประเด็นที่ผู้คนให้ความสนใจกันมาก และหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการนักเรียนทุนรัฐบาลนั้น

ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ปัญหาหนีทุนการศึกษาเป็นเพียงส่วนเดียวของปัญหาทั้งหมด โดยความไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการนักเรียนทุนรัฐบาลมีสาเหตุสำคัญ 3 ประการ

ประการแรก ทิศทางการพัฒนาประเทศไทยไม่ชัดเจนพอ  แม้ว่าประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่แผนพัฒนาฯ เป็นเพียงกรอบกว้างๆ ทำให้ไม่สามารถกำหนดเป้าหมายการพัฒนากำลังคนที่ชัดเจนได้  นอกจากนี้ ประเทศไทยไม่มีนโยบายอุตสาหกรรมที่ชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ซึ่งทำให้การวางแผนกำลังคน รวมถึงการให้ทุนการศึกษาทำได้ยาก

ประการที่สอง รัฐขาดข้อมูลที่สำคัญในการบริหารจัดการทุนการศึกษา ที่สำคัญคือการขาดข้อมูลความต้องการกำลังคนที่ต้องการในอนาคตในแต่ละสาขา  และยังขาดระบบในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานให้ทุนที่จัดทำอย่างเป็นประจำและสม่ำเสมอ

ประการที่สาม การบริหารจัดการทุนอยู่ภายใต้หลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) จัดสรรทุนตามความต้องการของส่วนราชการ สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.)  จัดสรรทุนสำหรับบุคลากรในมหาวิทยาลัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดสรรทุนโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดสรรทุนการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดสรรทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์ โดยหน่วยงานเหล่านี้มีลักษณะการทำงานแบบแยกกันทำ และไม่มีการประสานงานกัน 

สาเหตุดังกล่าวทำให้การบริหารจัดการทุนการศึกษาไม่มีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดความสูญเปล่ามากมาย จากความซ้ำซ้อนและความไม่สอดคล้อง ระหว่างความต้องการของหน่วยงานและสาขาที่นักเรียนทุนไปเรียนต่อ ทำให้มีนักเรียนทุนหลายคนที่จบกลับมาแล้วแต่ยังไม่ถูกบรรจุเข้าทำงาน หรือมีผู้สละทุนการศึกษาเพื่อไปเรียนสาขาอื่น เช่น แพทย์ศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ตลอดจนมีการแย่งชิงผู้สมัครทุนระหว่างหน่วยงานให้ทุนต่างๆ

การขาดกลไกการติดตามผู้รับทุนที่มีประสิทธิภาพ และขาดการประเมินผลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้นักเรียนทุนบางส่วนใช้ระยะเวลาในการศึกษานานเกินกว่าที่ควรจะเป็น เช่น จากข้อมูลของ สกอ. ซึ่งรายงานโดยสำนักข่าวอิศราพบว่า โครงการทุนพัฒนาอาจารย์สาขาขาดแคลน 16 สาขาในระดับการศึกษาปริญญาโทและเอก ของ สกอ. ในระหว่างปี 2535-2548 มีผู้รับทุนถึง 5,342 คน แต่มีผู้ที่เรียนจบเพียง 3,835 คน ทั้งที่ผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว สะท้อนว่านักเรียนทุนเกือบร้อยละ 30 ใช้เวลาในการศึกษานานกว่า 10 ปี หรือโครงการทุน พสวท. ในระหว่างปี 2527-2556  มีจำนวนผู้รับทุนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ปริญญาตรี โท และเอก ในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาทั้งสิ้น 4,488 คน แต่มีผู้สำเร็จการศึกษาแล้วเพียง 1,110 คน หรือเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น

นักวิชาการอาวุโสทีดีอาร์ไอ ระบุว่า ปัญหาสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งในการให้ทุนการศึกษาของประเทศไทยคือ การไม่มีแผนอย่างชัดเจนในการใช้ประโยชน์จากผู้สำเร็จการศึกษา จึงส่งผลให้การจัดสรรทุนมีลักษณะกระจัดกระจายมาก  เช่น ในปี 2559 มีการส่งนักเรียนทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์ไปศึกษาด้านระบบรางจำนวนเกือบ 50 ทุน โดยกระจายไปในมหาวิทยาลัยต่างๆ มากกว่า 15 แห่งในทุกภูมิภาค ทำให้ยากที่ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแตกต่างจากสิงคโปร์ หรือเกาหลีใต้ที่มีการกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพในแต่ละด้านอย่างชัดเจน เช่น การต่อเรือ หรือเทคโนโลยีชีวภาพ ก่อนสนับสนุนให้หน่วยงานเหล่านั้นส่งนักเรียนทุนไปศึกษาต่อ   

ในสภาวะปัจจุบันที่ประเทศไทยเสี่ยงที่จะติดอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลาง และจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีจากนี้ การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการนักเรียนทุนเพื่อเร่งรัดการพัฒนาประเทศจึงมีความสำคัญยิ่ง โดยควรปรับปรุงการบริหารการจัดสรรทุนการศึกษาให้เป็นระบบรวมศูนย์ภายใต้คณะกรรมการระดับชาติ และควรวางกลไกในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเป็นระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเปล่าของงบประมาณแผ่นดิน

ที่สำคัญ การวางแผนการจัดส่งนักเรียนทุน ควรอยู่บนพื้นฐานของการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง มีความเป็นเลิศในสาขาเฉพาะแต่ละด้าน เช่น ให้มหาวิทยาลัยในภาคใต้พัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยางพารา หรือมหาวิทยาลัยที่เน้นด้านโลจิสติกส์เป็นเจ้าภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ของประเทศหรือท้องถิ่น แทนที่จะเกลี่ยทุนไปหลายแห่งจนทำให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง ไม่สามารถพัฒนาความเป็นเลิศเฉพาะทางขึ้นมาได้

ภาพจาก: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ