ในงานเสวนาสาธารณะ “สุขภาพและสุขภาวะของกลุ่มนักเรียนเพศทางเลือกในปัจจุบัน” (The Health and Wellbeing of LGBT Students: Making Things Better) รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้กล่าวถึงผลงานวิจัย Youth’2000 จากประเทศนิวซีแลนด์ ระบุว่ากลุ่มนักเรียนเพศทางเลือก ที่มีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 5 – 10% ของประชากรนักเรียน เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าสูงถึง 6 เท่า โดยจากสถิติพบว่านักเรียนกลุ่มนี้ มีอัตราการพยายามฆ่าตัวตาย สูงกว่าเด็กทั่วไปถึง 5 เท่า สาเหตุหลักมาจากการต้องเผชิญ กับพฤติกรรมความรุนแรงจากเพื่อนร่วมชั้น ที่มีความเกลียดกลัวและแบ่งแยกกลุ่มนักเรียนเพศทางเลือก เพราะมองว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่ปกติ
รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)
จากผลวิจัยพบว่า กลุ่มนักเรียนเพศทางเลือกจะถูกกลั่นแกล้ง ถี่กว่านักเรียนปกติถึง 4.5 เท่า ในขณะที่มีการถูกทำร้ายทางร่างกายเป็น 2 เท่า จากสภาวะแวดล้อมดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มนักเรียนเพศทางเลือกเกิดความกดดัน เครียด และซึมเศร้า หลายคนจึงหาทางออกด้วยการเสพความสุขที่ไม่ส่งผลดีในระยะยาว อาทิ การดื่มแอลกอฮอล์การพนัน การสูบบุหรี่ การใช้สารเสพติด การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน ซึ่งทั้งหมดอาจก่อให้เกิดปัญหาสังคมเรื้อรังต่อไปในอนาคต หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์อันเลวร้ายที่ขึ้นเกิดกับกลุ่มนักเรียนเพศทางเลือก ไม่ใช่ปัญหาของคนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นปัญหาสำคัญอันสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติของคนในสังคม ที่ไม่เปิดใจและยอมรับในความแตกต่างหลากหลายของเพื่อนมนุษย์ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องการแสดงออกทางเพศ แต่ยังรวมไปถึงเรื่องสีผิว เชื้อชาติ ชนชั้น ตลอดจนการแสดงออกความคิดเห็นอย่างเสรีภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนด้วย
ดังนั้น การปลูกฝังเยาวชนให้มีทัศนคติที่เปิดกว้าง และยอมรับความแตกต่างของคนในสังคมได้ ผ่านการเรียนการสอนที่สอดแทรกการใช้ชีวิตบนค่านิยม 3 เท่า จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างค่านิยม ที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนไทย ได้แก่
1. เท่าทัน การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร เยาวชนควรมีทักษะในการคัดกรอง วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ ตลอดจนเลือกรับสารที่เป็นประโยชน์ และเหมาะสมกับตนเองได้ โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของสังคมที่ชวนเชื่อ
2. เท่าเทียม การอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลายทางประชากรศาสตร์ และการแสดงออกทางความคิด ทุกคนควรเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่มีความเท่าเทียม
3. เท่าที่ควร การจะเข้าสังคมได้อย่างมีความสุข ทุกคนต้องรู้จักปฏิบัติตัวและแสดงออกอย่างพอเหมาะพอดี ต้องมีมารยาทและกาลเทศะ รวมไปถึงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ขององค์กร และกฎหมายของบ้านเมือง
พิชฌ์พสุภัทร วงศ์อำไพ หรือ “ภูเขา” นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนเอกวิทยุโทรทัศน์ มธ. นักศึกษากลุ่ม LGBT บอกเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ในวัยเด็ก โดยยอมรับว่าสมัยเรียนมัธยมฯ มักโดนรังแก จากทั้งเพื่อนร่วมชั้นที่ชอบแกล้งรวมไปถึงครูผู้สอน ส่วนใหญ่มักหยอกล้อด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสม อย่างเช่น “ทำตัวให้แมนๆ หน่อย” หรือ “เป็นตุ๊ดเหรอ” ซึ่งส่งผลให้ตนรู้สึกไม่มั่นใจ เหมือนเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น หลายครั้งรู้สึกเครียดและไม่อยากไปโรงเรียน จนถึงขนาดเคยขอที่บ้านย้ายโรงเรียนเพื่อหนีปัญหาดังกล่าว แต่สุดท้ายเมื่อได้กลับมาคิดทบทวน จึงหาทางออกให้ตัวเองด้วยการโฟกัสเรื่องเรียนแทน
พิชฌ์พสุภัทร วงศ์อำไพ หรือ “ภูเขา” นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนเอกวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)
แต่เมื่อได้ก้าวเข้ามาในรั้วมหาวิทยา ชีวิตก็ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ด้วยสังคมที่ค่อนข้างเปิดรับในทุกความหลากหลาย และปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม ส่งผลให้ตนมีความสุขกับการเรียนและการทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก โดยล่าสุดกับการได้รับเลือกเป็น “แม่ทัพเชียร์” ในงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 71 ซึ่งนับเป็นการก้าวข้ามความท้าทายของสังคม ที่ยังจมอยู่กับทัศนคติการตัดสินคนแต่ภายนอก และไม่ค่อยให้ความสนใจในความสามารถที่บุคคลนั้น
แม้ว่าตนจะก้าวผ่านปัญหาความรุนแรงมาได้ แต่โดยส่วนตัว “ภูเขา” ยังเชื่อว่าเหตุการณ์หรือพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าว ยังคงมีอยู่อย่างแพร่หลายในสังคมไทยและสถาบันการศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่ทุกส่วนควรช่วยกันแก้ไข โดยเฉพาะใน 3 สถาบันหลัก ได้แก่
1. สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะ “ครูผู้สอน” ที่เปรียบเสมือน “ผู้นำความคิด” ของนักเรียนที่ชี้นำความคิดต่าง ๆ ได้ ควรปรับทัศนคติ สร้างความรู้ความเข้าใจในเพศวิถีศึกษาแก่เยาวชน และปฏิบัติต่อเด็กนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียม
2. สถาบันสื่อสารมวลชน สื่อมวลชน ในฐานะสถาบันที่มีบทบาทอย่างสูงต่อสังคม ควรเลี่ยงการนำเสนอภาพจำการกระทำความรุนแรงทางเพศกับกลุ่ม LGBT และการเป็นตัวตลกที่สร้างความบันเทิงแก่สังคมแต่เพียงอย่างเดียว
3. สถาบันครอบครัว ครอบครัว นับเป็นสถาบันเพียงแห่งเดียวที่มีความใกล้ชิดกับเยาวชนมากที่สุด จึงควรเปิดใจให้กว้าง เข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่เยาวชนเป็น