จากกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการใช้กัญชารักษาโรคมะเร็ง อย. ขอชี้แจงว่า ปัจจุบันยังไม่มียาจากกัญชา ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยทางคลินิกในคน เพียงพอที่จะยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยในการใช้รักษาโรคมะเร็ง
เภสัชกรสมชาย ปรีชาทวีกิจ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการใช้กัญชารักษาโรคมะเร็งนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ขอชี้แจงว่ากัญชาจัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะอนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ โดยในปัจจุบันยังไม่มียาจากกัญชาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยทางวิชาการในคนยืนยันว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งได้
อย่างไรก็ตาม อย. ได้ตระหนักถึงประโยชน์ของกัญชาและสารสกัดจากกัญชา ในการนำมาใช้ในการบำบัดรักษาทางการแพทย์ จึงได้เสนอให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เปิดให้สามารถนำกัญชารวมถึงสารสกัดจากกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ ตามคำสั่งของผู้ประกอบการวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบการวิชาชีพการแพทย์แผนไทยสาขาเวชกรรมไทย หรือผู้ประกอบการวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ซึ่งร่างประมวลกฎหมายนี้คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบกับหลักการของร่างฯ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2559 ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ปัจจุบันมีการใช้กัญชาในทางการแพทย์ของต่างประเทศ โดยมีข้อบ่งใช้ของยา ได้แก่ บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการใช้เคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วยโรคเอดส์ รักษาภาวะปวดเกร็งในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง รักษาอาการปวดในผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่ข้อมูลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการนำกัญชามาใช้ในการรักษาโรค ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย เช่น การศึกษาวิจัยในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่าง ๆ เป็นต้น และในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็ยังไม่มีการรับรองให้มีการนำพืชกัญชามาใช้ ในการรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยทางคลินิกในคนเพียงพอ ที่จะยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัย