ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ซึ่งจะนำมาบังคับใช้แทน พ.ร.บภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และ พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้เป็นการปรับปรุงการเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันมากขึ้น เพื่อให้มีรายได้เพียงพอที่จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการในเขตพื้นที่ของตน
โดยแบ่งอัตราภาษีออกเป็น 3 กลุ่ม ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดิน ดังนี้
1. ที่ดินเพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรม ให้จัดเก็บภาษีได้ในอัตราไม่เกิน ร้อยละ 0.2
2. ที่ดินเพื่อเป็นที่พักอาศัย ให้จัดเก็บภาษีได้ในอัตราไม่ เกินร้อยละ 0.5
3. ที่ดินใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม ให้จัดเก็บภาษีได้ในอัตราไม่เกิน ร้อยละ 2
ขณะที่ในส่วนของที่ดินที่ทิ้งไว้ว่างเปล่า หรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพที่ดิน กำหนดอัตราภาษีสูงสุดในกฎหมายโดยให้ อปท. เรียกเก็บในอัตราไม่เกิน ร้อยละ 5 ของฐานภาษี
ทั้งนี้ สำหรับข้อยกเว้นในการเก็บภาษีทรัพย์สินบางประเภท ได้แก่ สาธารณสมบัติ ทรัพย์สินของรัฐที่ไม่ได้ใช้หาผลประโยชน์ ทรัพย์สินของสถานทูต ทรัพย์สินของสภากาชาดไทย ทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด และที่ดินสาธารณูปโภคของโครงการจัดสรรที่มิได้ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ทรัพย์สินของเอกชนที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ และบ้านพักอาศัยหลักในส่วนที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท เป็นต้น
ส่วนอัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริงจะกำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา โดยกำหนดเป็นอัตราก้าวหน้าเพิ่มขึ้นตามมูลค่าของฐานภาษี ดังนี้
1. เกษตรกรรม ตั้งแต่ ร้อยละ 0 - 0.1 ของฐานภาษี
2. ที่พักอาศัยหลัก ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่ ร้อยละ 0.05 - 0.1 และที่พักอาศัยหลังอื่น ตั้งแต่ร้อยละ 0.03 - 0.3 ของฐานภาษี
3. ประเภทอื่นๆ ตั้งแต่ ร้อยละ 0.3 - 1.5 ของฐานภาษี
4. ที่ดินว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ จะจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นทุก 3 ปี ตั้งแต่ร้อยละ 1 - 3 ของฐานภาษี
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เจ้าของบ้านพักอาศัยหลักได้รับกรรมสิทธิ์บ้านหลังดังกล่าว มาจากการรับมรดกก่อนที่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จะมีการบรรเทาภาษีให้ โดยการลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ร้อยละ 50 ของจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย นอกจากนี้ยังให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีเป็นเวลา 1 ปี ให้กับที่ดินที่อยู่ระหว่างการปลูกสร้างบ้านที่เจ้าของใช้เป็นบ้านของตนเอง
ให้จัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 0.05 ของฐานภาษี สำหรับที่ดินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อจัดทำเป็นโครงการที่พักอาศัยเพื่อขาย ที่นิติบุคคลที่ประกอบกิจการอสังหาริมทรัพย์เป็นเจ้าของ เป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่เจ้าของที่ดินได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ให้จัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 0.05 ของฐานภาษี สำหรับอสังหาริมทรัพย์รอการขายที่ได้มาจากการชำระหนี้ของสถาบันการเงิน เป็นระยะเวลา 5 ปี
ให้ลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่เกิน ร้อยละ 75 ของจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย สำหรับกิจการสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล และโรงเรียน เป็นต้น