ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า อัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกในประเทศไทยลดลงจาก ร้อยละ 10.3 ในปี พ.ศ. 2546 เหลือเพียง ร้อยละ 1.91 ในปี พ.ศ. 2558 โดยอัตราดังกล่าวเข้าเกณฑ์การยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกขององค์การอนามัยโลก กล่าวคืออัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกต้องอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ร้อยละ 2
จากการประเมินการยุติการถ่ายทอดเชื้อของทีมผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การอนามัยโลก และการสนับสนุนจากองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือยูนิเซฟ (UNICEF) โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. CDC) พบว่าประเทศไทยได้บรรลุเงื่อนไขทั้งหมดตามเป้าหมายโลก ในการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและซิฟิลิสจากแม่สู่ลูก ผลจากการประเมินของทีมผู้เชี่ยวชาญครั้งนี้ ถือเป็นการสรุปกระบวนการในการขอรับรองการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและเชื้อซิฟิลิสจากแม่สู่ลูกของประเทศไทย ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ.2557 จนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2559
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาธร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความสำเร็จของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก ในการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและซิฟิลิสจากแม่สู่ลูก นับเป็นความสำเร็จของทุกคนทุกองค์กรและทุกหน่วยงานภาคี ประโยชน์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลเฉพาะกับกลุ่มเป้าหมายชาวไทยเท่านั้น แต่กับแม่และเด็กทุกคนที่อยู่ในแผ่นดินไทยทุกคนมีสิทธิได้รับการบริการอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี ความท้าทายหลังจากนี้คือจะทำอย่างไรให้ความสำเร็จในวันนี้ยั่งยืนต่อไป โดยปัจจัยที่จะนำเราไปถึงจุดนั้นได้คือการจัดการที่มีประสิทธภาพ รวมไปถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนและนโยบายรัฐบาลที่เข็มแข็ง
นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ความสำเร็จครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการเป็นผู้นำของประเทศไทยในการรับมือกับโรคระบาดใหญ่ ซึ่งไทยกลายเป็นตัวอย่างสำคัญและเป็นแรงบันดาลใจให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียในการต่อสู้เพื่อให้เด็กรุ่นต่อๆ ไปปลอดภัยจากเอชไอวีและซิฟิลิส ที่สำคัญทุกวันนี้ไม่เพียงแค่เด็กไทยเท่านั้นที่แทบไม่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่ แต่ยังรวมไปถึงเด็กๆ ลูกหลานแรงงานต่างชาติที่มีประกันสุขภาพ ก็แทบไม่มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะสามารถเข้าถึงบริการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้
ดร.แดเนียล เคอร์เตสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวเสริมว่า การดำเนินการเพื่อยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกของรัฐบาลไทย ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะประชาชนไทยเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมแรงงานต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วย ซึ่งประเทศไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่มีระบบประกันสุขภาพสำหรับแรงงานต่างชาติ ทำให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกได้
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา หญิงตั้งครรภ์เกิน ร้อยละ 95 ได้รับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 95 ยังได้รับยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อในทารกด้วย
ขณะที่ข้อมูลในปี 2558 พบว่าเด็กติดเชื้อเอชไอวี
รวมทั้งอัตราการติดเชื้อซิฟิลิ
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาอัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ร้อยละ 2 โดยต้องเน้นการพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่องสำหรับกลุ่มที่เข้าถึงยาก เช่น แรงงานต่างชาติและกลุ่มวัยรุ่น เพื่อให้สามารถค้นหาผู้ป่วยในระยะแรกและวางแผนการรักษาได้ทันท่วงที
ภาพ: ยูนิเซฟ โดย Jingjai N.