“ส่วย” สถานบริการ สาเหตุ วิ่งเต้น โยกย้าย สู่พื้นที่ “ทำเลทอง” (คลิป)

วันนี้ (8 มิ.ย. 59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.กิตติพงศ์ วิเศษสงวน ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง, พ.ต.ท.ศาสตร์ศักดิ์ ชัยประเสริฐ รองผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม, พ.ต.ท.จีระพล ประพันธ์จันทร์ สารวัตรสืบสวน และ พ.ต.ท.ศุภภัทร สวัสดี สารวัตรป้องกันและปราบปราม ถูกสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับตำรวจนครบาล 1 เป็นเวลา 30 วันทันที พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง หลัง สน.ห้วยขวาง มีชื่ออยู่ในบัญชี “ส่วย” ที่กรมการปกครองและทหาร เข้าตรวจค้นสถานอาบ อบ นวด นาตารี ค่ำวานนี้ (7 มิ.ย. 59) และพบเด็กสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี และหญิงสาวต่างด้าวให้บริการ

หญิงชาวต่างชาติจำนวนมากที่เข้ามาขายบริการทางเพศ และเยาวชนอายุไม่ถึง 18 ปีที่พบระหว่างการตรวจสอบสถานประกอบการ อาบ อบ นวด นาตารี ย่านรัชดา เมื่อค่ำวานนี้ สะท้อนให้เห็นว่าขบวนการค้ามนุษย์ในไทย ยังแฝงไว้ด้วย “ราคา” ที่ต้องจ่าย ซึ่งกระดาษระบุชื่อและจำนวนเงินที่ถูกอ้างว่าจ่ายให้ตำรวจและเจ้าหน้าที่อีกหลายหน่วยงานเป็นหลักฐานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำเป็นต้องเร่งตรวจสอบ

ทีมข่าว PPTV พบรูปแบบการจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐมีองค์ประกอบหลายส่วนขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของสถานประกอบการ อาบ อบ นวด ทั้งในกรุงเทพมหานคร หรือ ต่างจังหวัด จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่สถานบริการขนาดเล็ก อาจไปจ่ายที่ “โรงพัก” เพียงอย่างเดียว

ทั้งนี้แหล่งข่าวระบุข้อมูลที่สอดคล้องกับภาพในบัญชีการจ่ายเงินว่า “ส่วย” อาจต้องจ่ายให้กับหลายบุคคล ตั้งแต่ระดับพื้นที่ ระดับบังคับบัญชาพื้นที่ และหน่วยงานกลาง ที่รับผิดชอบหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การค้ามนุษย์ เด็ก การผ่านเข้า-ออกประเทศ การท่องเที่ยว บางครั้งพบว่ามีหน่วยงานท้องถิ่นที่รับผิดชอบเรื่องอาคารและสิ่งแวดล้อมของสถานการบริการด้วย

สำหรับการรับเงินในสถานบันเทิง แต่ละหน่วยงานจะมี “แม่บ้าน” ทำหน้าที่เก็บเงิน โดยระดับพื้นที่จะได้รับเงินส่วนนี้มากที่สุด โดยผู้ที่ทำหน้าที่แม่บ้าน จะจัดสรรเงินส่วนนี้ตามลำดับชั้น ตั้งแต่ต่ำสุดไปถึงสูงสุด แต่หลายพื้นที่อาจไม่สามารถทำได้ เพราะไม่มีสถานบริการตั้งอยู่ ทำให้เกิดปัญหาการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่ง เพื่อให้ได้อยู่ใน “ทำเลทอง เกรด เอ”  พร้อมๆ กับคำร่ำลือว่า การซื้อขายเก้าอี้ระดับ “หัวหน้าพื้นที่” มีมูลค่านับ 10 ล้านบาท

"ส่วย" ต้นเหตุสถานการณ์ค้ามนุษย์ไทย แก้ยาก
การเข้าจับสถานบริการ นาตารี อาบ อบ นวด ย่านรัชดาภิเษก และพบหญิงบริการที่เป็นต่างด้าวจำนวนมาก ยังสะท้อนถึงแนวทางการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ในประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะปัญหาเชิงระบบและโครงสร้าง ซึ่งเคยถูกสะท้อนออกมาผ่านงานวิชาการว่าการจัดการปัญหาค้ามนุษย์ในไทยไม่มีเอกภาพ เพราะต้องระดมกำลังหลายหน่วยงานเข้าจัดการพร้อมกัน ซึ่งยิ่งทำได้ยาก เมื่อมีปัญหาซ้อน คือ ส่วย

แม้ว่าสถานการณ์ค้ามนุษย์ในไทยจะถูกแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องและพัฒนาในทางที่ดีขึ้น แต่นายสุรพงษ์ กองจันทึก ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ยอมรับว่า ประเทศไทยยังถูกจับตามองจากองค์กรต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาค้าแรงงานประมงและการขายบริการทางเพศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหญิงชาวต่างชาติ เพราะสภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกันเป็นปัจจัยที่ทำให้แรงงานชาวต่างชาติไหลเข้ามาขายแรงงานในไทย

ทั้งนี้ ทีมข่าว PPTV ติดตามปัญหาการค้ามนุษย์ พบว่า เส้นทางที่จะนำไปสู่การปราบปรามหรือเข้าช่วยเหลือเหยื่อมีอุปสรรคค่อนข้างมาก

จากโครงสร้าง จะเห็นได้ว่าไม่มีหน่วยงานใดที่มีอำนาจรับผิดชอบโดยตรงเพียงหน่วยงานเดียวเพราะ “ปัญหาค้ามนุษย์” ต้องแก้ไขโดยอาศัยกฎหมายหลายฉบับ จึงต้องให้การสนธิกำลังจากหลายหน่วยงานมาก ทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายปราบปราม แรงงาน หรือแม้แต่องค์กรพัฒนาเอกชน เพราะแต่ละหน่วยงาน ถือกฎหมายที่เกี่ยวข้องคนละฉบับ

การประกอบกำลังหลายหน่วยงานพ่วงมาด้วยความเสี่ยงในการเข้าปราบปรามและช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ เพราะการที่ต้องแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาก ยิ่งมีโอกาสสูงที่จะเกิดเหตุ “ข่าวรั่ว” ซึ่งอาจส่งผลอันตรายถึงเหยื่อได้ในทันที โดยเฉพาะเมื่อเห็นกันแล้วจากการจับกุมสถานบริการ อาบ อบ นวด วานนี้ ว่า ในขบวนการค้ามนุษย์ มีกระบวนการหนึ่งในนั้น คือการจ่าย “ส่วย” ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงานเข้าไปเกี่ยวข้อง

งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ทีมข่าวค้นพบ ใช้ชื่อกลุ่มว่า ชมรมนักวิจัยไทย เพื่อความสุขชุมชน ได้เสนอให้ภาครัฐตั้งหน่วยงานอิสระที่ทำงานแก้ปัญหาค้ามนุษย์โดยตรง คล้ายกับการตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อแก้ปัญหาการทุจริต โดยให้หน่วยงาน ที่เขาสมมติ ว่าชื่อ ป.ป.ม. นี้ มีโครงสร้างที่ครอบคลุมทุกด้าน เช่น กฎหมาย การฟอกเงิน ด้านการต่างประเทศ หรือแม้แต่ฟื้นฟูเยียวยาเหยื่อ ซึ่งจะทำให้สามารถลดขนาดการสนธิกำลังจากหลายหน่วยงานที่เป็นความเสี่ยง ข่าวรั่ว จากการจ่าย “ส่วย” ลงไปได้

ล่าสุดหน่วยงานด้านการประมงและกิจการสังคมของสหภาพยุโรป (อียู) ได้มีหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ไทยเร่งกระบวนการกำจัดการค้ามนุษย์ รวมถึงการใช้แรงงานทาสให้หมดไปก่อนที่ไทยและอียูจะหารือกันที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ในเดือน ก.ค. ที่จะถึงนี้

ทั้งนี้อียูเตือนว่าถ้าไทยยังไม่เร่งแก้ไขปัญหา ก็มีโอกาสที่จะถูกลงโทษ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงอุตสาหกรรมการประมงอย่างแน่นอน

 

อัฟนัน  อับดุลเลาะ PPTV รายงาน