แน่นอนว่าหากผลการลงประชามติ ออกมาว่า ชาวอังกฤษส่วนมากต้องการแยกตัวจากสหภาพยุโรป ย่อมจะทำให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงค่าเงินปอนด์ และยูโร ที่คาดว่าจะอ่อนค่าลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม อังกฤษเอง ก็ยังไม่สามารถออกจากการเป็นสมาชิกอียูได้ทันที เนื่องจากการลงประชามติในครั้งนี้ไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมาย จึงต้องนำผลที่ได้ไปลงมติกันในสภาอีกครั้ง ซึ่งแม้ว่ารัฐสภาจะเห็นชอบ แต่อังกฤษก็ยังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปี เพื่อเร่งเจรจาการค้ากับอียู และกำหนดนโยบายเกี่ยวกับแรงงานให้ชัดเจน โดยหากรัฐบาลอังกฤษผ่านร่างกฎหมายเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรี ก็จะส่งกระทบต่อพลเมืองอียูที่ทำงานอยู่ในอังกฤษ รวมถึงชาวอังกฤษที่ไปทำงานภายในประเทศสมาชิกอียูด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ที่มีนักเตะต่างชาติเข้ามาเล่นให้กับสโมสรต่างๆมากมาย
ทั้งนี้ ในระหว่าง 2 ปีของการเจรจา อังกฤษจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและกฎเกณฑ์ของอียูไปก่อน โดยจะไม่มีสิทธิในการออกความเห็นกรณีมีการร่างกฎหมายใหม่ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการเจรจานี้อาจกินเวลานานถึง 7-10 ปีเลยทีเดียว
ส่วนความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะกลับไปซบอกอียูอีกครั้ง หลังตัดสินใจแยกตัวแล้ว ในทางปฏิบัติ เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่คงไม่ง่ายแน่นอน เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษจะต้องเริ่มการเจรจาขอเข้าเป็นสมาชิกอียูใหม่อีกครั้ง โดยที่ประเทศสมาชิกทุกประเทศจะต้องเห็นพ้องและยอมรับสถานะพิเศษของอังกฤษ เช่น การคงเงินปอนด์เป็นสกุลเงินหลัก รวมถึงการใช้วีซ่าเข้าประเทศของตนเอง โดยไม่ร่วมกลุ่มกับวีซ่าเชงเก้น
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าสหราชอาณาจักรนั้น ยังครอบคลุมถึงสกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีจุดยืนสนับสนุนอียู ฉะนั้น หากฝ่าย Brexit ชนะ อาจสร้างความไม่พอใจและเป็นการปลุกกระแสให้เกิดความรู้สึกอยากแยกตัวเป็นเอกราชจากสหราชอาณาจักรได้ โดยเฉพาะสกอตแลนด์ ที่เพิ่งจะจัดลงประชามติแยกตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน
ทีมข่าวต่างประเทศ PPTV รายงาน
