ในมุมมองของ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง วิเคราะห์ว่าหากผลการลงประชามติออกมาว่า ชาวอังกฤษเลือกที่จะออกจากอียู สิ่งแรกที่ชาวอังกฤษจะได้รับคือเอกราชที่ได้กลับมาในบางส่วน ชาวอังกฤษมีเสรีภาพในการบริหารประเทศและเศรษฐกิจ และอังกฤษจะมีนโยบายควบคุมการเคลื่อนย้ายบุคคลได้เองโดยไม่ต้องแบกรับภาระผู้ลี้ภัย
ขณะที่ผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากอังกฤษถอนตัวออกจากอียู ในในระยะสั้นอัตราการเติบโตของอังกฤษจะชะลอตัวเพราะการลงทุนจะหยุดชะงัก ส่วนในระยะกลางและระยะยาวจะเกิดความไม่แน่นอนในอังกฤษ ทั้งเรื่องของการเป็นสหภาพ เขตการค้าเสรี ซึ่งอาจจะเห็นการเจรจากับอียูเกิดขึ้น ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายปี ที่อัตราการเติบโตจะเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ศูนย์กลางทางการเงินของอังกฤษก็จะเล็กลง ทำให้เกิดการเสียเปรียบกับตลาดการเงินของยุโรป รวมทั้งด้านความมั่นคงคือความยิ่งใหญ่ของอังกฤษจะน้อยลงด้วย เพราะบทบาทในการเป็นสมาชิกภาพในนาโต้ลดลง
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองอียูหากอังกฤษถอนตัวจากการเป็นสมาชิก ก็เกิดผลกระทบเช่นกัน เพราะการลงประชามติแยกตัวออกจากอียูนั้น อาจจะมีประเทศอื่นเลียนแบบได้ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง รวมทั้งเกิดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดหุ้นทั่วโลก
แต่ถ้าหากชาวอังกฤษเลือกที่จะอยู่กับอียูต่อไป ในระยะสั้นจะส่งผลให้ตลาดลงทุนกลับมาคึกคัก โดยเฉพาะตลาดหุ้น เงินปอนด์จะแข็งค่าขึ้น และในระยะยาว อังกฤษจะยังอยู่ในสถานภาพเดิมต่อไป
ขณะที่ผลกระทบต่อประเทศไทย หากอังกฤษออกจากอียู รศ.ดร.สมชาย มองว่า มีทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของไทยและอังกฤษ อาจมีไม่มากนักแต่กับอียูนั้น คิดเป็น 9.8% ของ GDP ไทย
นอกจากนี้ การลงประชามติของชาวอังกฤษว่าจะอยู่หรือออกจากอียู รศ.ดร.สมชาย วิเคราะห์ว่า มีความเสี่ยงทั้งสองอย่างแต่ถ้าเลือกจะอยู่ต่อไป จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการตัดสินใจออกจากอียู
อย่างไรก็ตาม การสิ้นสุดสมาชิกภาพของอังกฤษในอียูจะต้องใช้เวลา 2 ปี หลังแจ้งความจำนงอย่างเป็นทางการหรืออาจจะนานกว่านั้น ขณะที่ในอนาคตเราก็อาจจะเห็นการเจรจาต่อรองข้อตกลงใหม่ได้
ทีมข่าวต่างประเทศ พีพีทีวี รายงาน