กลายเป็นกระแสที่ทำให้คนไทยกลับมาฉุกคิดอีกครั้ง ก่อนที่จะโพสต์ข้อความหรือแชร์ต่อคลิปวิดีโอในโลกออนไลน์ หลังมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ #BETTERSOCIAL ซึ่งผู้จัดทำได้สัมภาษณ์ผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อของสังคม โดยการถูกถ่ายรูปจากคนแปลกหน้า และบรรยายเรื่องราวต่างๆ ที่ตัวเขาไม่ได้เป็นผู้กระทำเผยแพร่ลงในสังคมออนไลน์ จนกระทบต่อการใช้ชีวิตและสภาพจิตใจอย่างหนัก แม้ภายหลังความจริงจะปรากฎว่า เขาไม่ได้มีพฤติกรรมตามที่ถูกกล่าวหาก็ตาม..
เรื่องราวข้างต้นถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญ ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาจากการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "Cyberbullying" ซึ่งปัจจุบันถือเป็นปัญหาใหญ่ที่คนทั่วโลกกำลังเผชิญ โดยไม่อาจคาดเดาได้ว่าในอนาคตตัวเรา คนในครอบครัว หรือคนรู้จัก จะตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหรือไม่ ?
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต ระบุถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก "Cyberbullying" หรือ "การกลั่นแกล้งทางออนไลน์" ไว้อย่างน่าสนในใจว่า เรามักจะได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับ Cyberbullying ทั้งผลกระทบ และหนทางเยียวยาฟื้นฟูจิตใจเหยื่อ จากกรณีการถูกกลั่นแกล้งเสมอๆ แต่สิ่งที่อยากเห็นมากกว่า คือการป้องกันอย่างเป็นรูปธรรมและจริงจัง โดยเสนอว่าการไตร่ตรองก่อนการใช้สื่อออนไลน์ ควรเป็นเนื้อหาที่ถูกบรรจุไว้ในการเรียนการสอนของเด็กไทยอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ครูบอกเพียงว่านักเรียนต้องระวังการเขียนเรื่องต่างๆ ในโลกโซเชียลเท่านั้นแล้วจบ
แต่เนื้อหาการใช้สื่อออนไลน์อย่างถูกต้อง ควรถูกบรรจุเป็นวิชาหนึ่งที่มีการเรียนการสอนต่อเนื่อง ตั้งแต่ในระดับชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย เพราะแต่ละช่วงอายุของเด็กมีความเข้าใจต่อโลกออนไลน์ที่ไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันพ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรสอนเรื่องนี้อย่างจริงจังด้วยเช่นเดียวกัน โดยอาจเริ่มสอนตั้งแต่เด็กเริ่มใช้คอมพิวเตอร์เป็น
“ประเทศไทยเราเลยสอนวิชาเลขเพราะเด็กต้องคำนวณเงินซื้อขนมทุกวัน แล้วเหตุใดเราถึงไม่สอนวิธีการใช้โลกโซเชียล ในเมื่อเด็กวัยรุ่นกว่า 1.8 พันล้านคน บนโลกนี้เข้าถึงอินเทอร์เน็ต และเด็กไทยแทบทุกคนก็ใช้มันอยู่ทุกวัน ที่สำคัญปัญหานี้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีคนเข้าถึงสื่ออนไลน์มาก และประเทศด้อยพัฒนาที่แม้คนจะเข้าถึงโลกออนไลน์น้อยกว่า แต่เพราะไม่ได้เตรียมพร้อมในการรับมืออย่างถูกต้องปัญหาที่เกิดขึ้นจึงรุนแรง”
นักจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ยกตัวอย่างการเรียนการสอนในประเทศอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนประถมศึกษาต้องจัดให้มีการเรียนการสอน เกี่ยวกับการกลั่นแกล้งทางสื่อออนไลน์ลงในหลักสูตร ตามคำสั่งของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อป้องกันการใช้สื่อออนไลน์ในทางที่ผิด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ถูกกลั่นแกล้งได้ตั้งแต่ อาการรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ ไปจนถึงไม่อยากพูดคุยกับคนอื่น เป็นโรคกลัวสังคมออกห่างจากเพื่อนและคนสนิท เนื่องจากกลัวโดนนินทาว่าร้าย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หนักมากขึ้นอาจมีอาการทางจิตเวชได้ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล มีความคิดอยากตาย หรือในบางคนเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นแกล้งคนอื่นต่อไปคล้ายกับที่ตัวเองเคยโดน เป็นต้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และความสามารถในการรับมือ ของผู้ถูกกลั่นแกล้งด้วย
“การปลูกฝังแนวคิดเรื่องการไตร่ตรอง หรือ Re-Think จะทำให้อาชญากรรมทั้งทางออนไลน์ และในโลกของความเป็นจริงลดลงไปได้อย่างมหาศาล เพราะข้อความต่างๆที่พิมพ์ออกไปบางครั้งเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ เกิดจากการที่เราไม่ได้ไตร่ตรองความเป็นจริงก่อน แต่ผลกระทบเลวร้ายที่เกิดขึ้นอาจคงอยู่ถาวรกับใครบางคน”
ทั้งนี้ เพื่อหยุดยั้งการโพสต์หรือส่งต่อข้อความที่อาจทำร้ายผู้อื่น นพ.วรตม์ ชี้ว่าขณะนี้คนทั่วไปสามารถใช้แอพพลิเคชั่น "ReThink" สุดยอดแอพพลิเคชั่นป้องกัน Cyberbullying ที่ถูกพัฒนาโดย Trisha Prabhu เด็กสาวอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ถือเป็นเครื่องมือง่ายๆ ที่ทรงพลัง ด้วยการจับข้อความที่สุ่มเสี่ยงต่อการกลั่นแกล้งผู้อื่น หรือความความที่อาจทำให้ผู้อ่านได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วตั้งคำถามต่อผู้โพสท์ว่า "คุณแน่ใจหรือไม่ที่จะโพสท์ข้อความนี้?" และ "ข้อความนี้อาจทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด" เพื่อให้ผู้ใช้หยุดคิดสักนิดก่อนที่ตัดสินใจจะเขียนอะไรที่ทำร้ายจิตใจคนอื่นลงไป ซึ่งจากการวิจัยและนำไปทดลองใช้กับเด็กนักเรียน พบว่าลดการโพสท์ข้อความที่ทำร้ายจิตใจผู้อื่นได้ถึง 93.4%