ผ่านมาแล้ว 1วัน หลังนายพันธุ์สุธี มีลือกิจ ผู้เสียหาย เดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมหลังถูกมิจฉาชีพหลอกเอาสำเนาบัตรประชาชนไปยกเลิกซิมการ์ดเดิม และเปิดซิมการ์ดใหม่เบอร์เดิม ก่อนจะติดต่อธนาคารไปขอรหัสผ่าน หรือ OTP ให้ส่งมาที่มือถือที่เปิดซิมการ์ดใหม่ไว้แล้ว แล้วนำรหัสผ่านดังกล่าวไปโอนเงินในระบบไซเบอร์แบงก์กิ้ง จนสูญเงินในบัญชีเงินฝากกสิกรไทยไปราวหนึ่งล้านบาท
ล่าสุดวันนี้ผู้เสียหายเปิดเผยกับทีมข่าว PPTV ว่าเตรียมนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดไปยื่นยังธนาคารแห่งประเทศไทยในวันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม นี้ เนื่องจากต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับทราบถึงเหตุการณ์ความเสียหายดังกล่าว และหาวิธีช่วยเหลือ
ส่วนความคืบหน้าจากผู้ให้บริการเครือข่ายอย่างบริษัททรูฯจนถึงตอนนี้นับตั้งแต่วันที่ในหลักฐานจากกล้องวงจรปิด แก่ผู้เสียหาย ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆทั้งสิ้น โดยให้เหตุผลว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการของฝ่ายกฎหมาย ส่วนด้านธนาคารกสิกรไทยได้ติดต่อมาวานนี้ โดยยืนยันว่าจะคืนเงินให้ผู้เสียหาย 50 เปอร์เซ็นต์ และจะไม่แจ้งความเนื่องจากธนาคารไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะผู้เสียหายคือนายพันธุ์สุธี แต่ทางผู้เสียหายยืนยันว่าต้องการให้มีการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท.ระบุว่า ตามกฎหมายแล้วธนาคารต้องเป็นแจ้งความกับตำรวจเนื่องจากเป็นผู้เสียหายโดยตรง เพื่อให้เจ้าหน้าเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินและเอาผิดกับผู้ก่อเหตุ แต่ในระหว่างที่ยังไม่สามารถตรวจสอบหาข้อสรุปได้ ธนาคารจะต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้ผู้เสียหายในฐานะผู้ดูแลเงินฝาก ซึ่งประเด็นนี้ยังไม่เกิดขึ้น เพราะธนาคารกสิกรยืนยันว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย และจะชดใช้แค่ 50 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ในสัปดาห์หน้าต้องดูว่าเรื่องนี้จะมีการแก้ไขอย่างไร ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารกสิกรไทย และบริษัททรูฯ เนื่องจากเคสนี้จะเป็นตัวอย่างให้เห็นช่องโหว่ที่อาจทำให้การให้บริการพร้อมเพย์ หรือ National E payment ที่กำลังจะเกิดขึ้นมีปัญหาในรูปแบบเดียวกันได้