วันนี้ (30 ต.ค. 59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิต 2559/60 โดยกระทรวงพาณิชย์ มีมาตรการเพื่อยกระดับราคาภายในประเทศ และผลักดันการส่งออกด้วย
โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก โดยจะชดเชยดอกเบี้ย เพื่อรับซื้อข้าวเปลือกตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 - 31 มีนาคม 2560 และเก็บสต๊อกข้าวไว้ระยะเวลา 2 - 6 เดือน ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการแล้ว 345 ราย วงเงินสินเชื่อที่รับซื้อข้าวเปลือก 85,917 ล้านบาท
โดยมีเป้าหมายการเก็บสต๊อกประมาณ 8 ล้านตัน และในส่วนการช่วยเหลือโดยตรงแก่เกษตรกร รัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือในช่วงก่อนการเพาะปลูก ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต ไร่ละ 1,000 บาท การลดต้นทุนการผลิต ลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อการเพาะปลูก รวมทั้งการพักชำระหนี้ให้เกษตรกร ทำให้การจำหน่ายผลผลิตข้าวเปลือก ได้ราคาเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่าตันละ 3,000 บาท
ด้านนางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ และนายวีระศักดิ์ วิจิตรแสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ร่วมประชุมหาแนวทางช่วยเหลือชาวนาหลังราคาข้าวเปลือกตกต่ำ เพื่อนำแนวทางและข้อเสนอแนะการช่วยเหลือชาวนา นำไปเสนอให้กับคณะรัฐมนตรี ในการประชุมหาข้อสรุปในวันจันทร์ที่ 31 ตุลาคมนี้ โดยมีชมรมโรงสีข้าวจังหวัดพิจิตร ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรชาวนาจังหวัดพิจิตรจากกลุ่มต่างๆ ซึ่งกลุ่มตัวแทนชาวนา ต้องการขายข้าวเปลือกทั้งข้าวหอมมะลิ 105 และข้าวหอมจังหวัด ในราคาเพดานอยู่ที่ตันละ 1 หมื่นบาท จากเดิมราคาอยู่ที่ 6 - 7 พันบาท ซึ่งยังไม่หักความชื้นและหักสิ่งเจือปนซึ่งในราคานี้จะทำให้ชาวนาอยู่ได้ อีกทั้งขอให้รัฐบาลช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วเนื่องจากผลผลิตข้าวเปลือกของชาวนากำลังเริ่มทยอยเก็บเกี่ยวผลผลิต
อย่างไรก็ตาม นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ได้ระบุว่าจะเร่งหาโควต้าจากกลุ่มผู้ส่งออก และกลุ่มตลาดที่ต้องการข้าวไทย มาซื้อโดยตรงจำนวน 5 หมื่นตันข้าวสาร ในราคา 600 เหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ชาวนาพิจิตรขายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้น โดยกำหนดเพดานความชื้นข้าวเปลือก 15 เปอร์เซนต์ อยู่ที่ตันละ 8,500 บาทอีกทั้งจะจัดโครงการส่งเสริมกระตุ้นการบริโภคข้าวภายในประเทศให้มากขึ้น พร้อมทั้งเตรียมนำข้อเสนอต่างๆ ให้คณะรัฐมนตรีทราบและพิจารณาแนวทางช่วยเหลือต่อไป
