ก่อนหน้าที่จะเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชื่อของ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นที่รู้จักมายาวนานในฐานะที่เป็นอภิมหาเศรษฐีที่โด่งดังและมีสีสันมากที่สุดในอเมริกาคนหนึ่ง โดยเฉพาะในแวดวงอสังริมทรัพย์และอุตสาหกรรมสื่อ
โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนทั้งหมด 5 คน ของ เฟรด ทรัมป์ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์ก โดยเขาได้เป็นผู้สืบทอดธุรกิจของครอบครัว หลังจากพี่ชายคนโต เฟรด ทรัมป์ จูเนียร์ ตัดสินใจที่จะประกอบอาชีพนักบิน
ทรัมป์ เริ่มต้นอาชีพสายธุรกิจโดยทำงานให้กับบริษัท เอลิซาเบธ ทรัมป์ แอนด์ ซัน ของบิดา ซึ่งเขาช่วยดูแลและบริหารจัดการโครงการที่พักอาศัยในย่านต่างๆ ของนิวยอร์ก กว่า 14,000 แห่ง ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น ทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น ในปี 1971
ทรัมป์ได้ขยายธุรกิจของครอบครัวจากอาคารชุดที่พักอาศัยในย่านบรูกลินและควีนส์ ไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในแมนฮัตตัน โดยเริ่มจากการพลิกโฉมโรงแรมคอมโมดอร์ (Commodore) ที่ทรุดโทรมให้กลายเป็น โรงแรมแกรนด์ ไฮแอต รวมถึงสร้าง ทรัมป์ ทาวเวอร์ (Trump Tower) อาคารที่พักอาศัยสูง 68 ชั้น ที่มีชื่อเสียงบนถนนฟิฟอเวนิว (Fifth Avenue) ก่อนจะตามมาด้วยอสังริมทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทรัมป์ เพลส (Trump Place) ทรัมป์ เวิลด์ ทาวเวอร์ (Trump World Tower) ทรัมป์ อินเตอร์เนชันนัล โฮเทล แอนด์ ทาวเวอร์ (Trump International Hotel and Tower) และโรงแรมในต่างประเทศอีกหลายแห่ง
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังสร้างอาณาจักรในอุตสาหกรรมบันเทิง โดยเริ่มจากการเป็นเจ้าของสิทธิ์การจัดการประกวด มิส ยูนิเวิร์ส (Miss Universe) มิส ยูเอสเอ (Miss USA) และมิส ทีน ยูเอสเอ (Miss Teen USA) ตั้งแต่ปี 1996 จนถึงปี 2015 ขณะที่ในปี 2003 ทรัมป์ ได้เปิดตัวรายการเรียลลิตี้แนวธุรกิจ “ดิ แอพเพรนทิส (The Apprentice)” ทางช่องเอ็นบีซี ที่ผู้ร่วมแข่งขันประชันความสามารถเพื่อชิงตำแหน่งบริหารใน ทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น โดย ทรัมป์ เป็นผู้ดำเนินรายการตลอด 14 ซีซั่นที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสำเร็จ ทรัมป์ เองก็เคยประสบกับวิกฤตถึงขึ้นถูกฟ้องล้มละลายในธุรกิจโรงแรมและคาสิโนรีสอร์ตที่มีหนี้สินมหาศาล ถึง 4 ครั้ง และทำให้เขาต้องแก้ปัญหาโดยโอนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของให้เจ้าหนี้ และขายกิจการและทรัพย์สินหลายอย่าง ขณะที่มรดกที่เขาได้รับหลังจากบิดาเสียชีวิตในปี 1999 ก็มีส่วนช่วยให้สถานการณ์การเงินของทรัมป์ฟื้นตัวขึ้นมาได้
ปัจจุบัน นิตยสาร 'ฟอร์บส์' ประเมินว่า ทรัมป์ มีทรัพย์สินสุทธิประมาณ 3 พัน 7 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ประมาณ 1 แสนสามหมื่นล้านบาท ขณะที่ทรัมป์มักจะย้ำว่า จริงๆ แล้วเขามีทรัพย์สิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3 แสน 5 หมื่นล้านบาท
ทรัมป์ เริ่มแสดงความสนใจลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรก ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว และเคยเสนอตัวลงสมัครเลือกตั้งเมื่อปี 2000 ในฐานะตัวแทนพรรคปฏิรูปอีกด้วย ก่อนจะขอถอนตัวเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นในพรรค ขณะที่นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ทรัมป์เป็นสมาชิกที่มีบทบาทมากที่สุดคนหนึ่งใน “ขบวนการเบิร์ทเธอร์” ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวที่ตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับสถานะพลเมืองของประธานาธิบดีบารัค โอบามา
จนกระทั่งในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ทรัมป์ ก็ได้ประกาศลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ในฐานะผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งในตอนนั้น หลายฝ่ายต่างมองว่าเป็นเรื่องตลก
“เราต้องการใครสักคนที่สามารถนำพาสหรัฐฯ ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้” เป็นคำพูดที่ทรัมป์กล่าวระหว่างการประกาศตน โดยเขาสัญญาว่า ในฐานะที่เขาเป็นผู้สมัครที่ไม่ต้องพึ่งการระดมทุน เขาจึงไม่มีผลประโยชน์พิเศษกับใคร และเขาเป็นผู้สมัครคนนอกที่เหมาะสมที่สุด
และนั่นจึงเป็นที่มาของสโลแกนรณรงค์หาเสียง “เมก อเมริกา เกรท อะเกน (Make America Great Again)” หรือ “ทำอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ซึ่งภายในแนวคิดนี้ ทรัมป์ ได้ให้คำมั่นว่าเขาจะทำให้เศรษฐกิจของอเมริกากลับมาแข็งแกร่ง ด้วยการสร้างงาน แต่ขณะเดียวกัน นโยบายหลายอย่างของเขาก็นำมาซึ่งกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างกำแพงตลอดแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก และการห้ามชาวมุสลิมเข้าประเทศชั่วคราว เป็นต้น
แม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวประท้วงคัดค้านอย่างกว้างขวาง ขณะที่คู่แข่งร่วมพรรคอย่าง เท็ด ครูซ และมาร์โก รูบิโอ ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะขัดขวางทรัมป์ แต่ ทรัมป์ ก็สามารถชนะการเลือกตั้งขั้นต้นด้วยคะแนนสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ 14 ล้านเสียง และกลายเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันได้ในที่สุด
ในขณะที่คนจำนวนไม่น้อยไม่ชอบทรัมป์ เพราะมองว่าเป็นคนที่พูดอะไรไม่คิด และมีนโยบายที่ไม่น่าจะทำได้จริง แต่ก็มีอีกหลายๆ คนที่ชื่นชอบทรัมป์ เพราะมองว่า แม้จะโผงผาง แต่ก็เป็นคนที่ปากตรงกับใจ และมักจะพูดในสิ่งที่ชาวอเมริกันอยากได้ยิน
แม้ว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง โพลเกือบทุกสำนักจะให้ ฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนิยมนำ ทรัมป์ อยู่พอสมควร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่มหาเศรษฐีวัย 70 ปี ผู้นี้ สามารถก้าวมาจนถึงจุดนี้ได้ ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่ทำให้เขายังคงมีลุ้นที่คว้าเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จนนาทีสุดท้าย
