ระบบการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาซับซ้อนกว่าของประเทศอื่นๆ โดยจะเป็นการออกเสียงทางอ้อม (Indirect Election) ที่มีคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ทำหน้าที่ตัดสินชี้ขาดว่าใครจะได้เป็นผู้นำประเทศ แทนการให้ประชาชนในประเทศเป็นผู้เลือกโดยตรง
คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) คือ ตัวแทนประชาชนจากแต่ละรัฐ จำนวนทั้งสิ้น 538 เสียง มีหน้าที่หย่อนบัตรเลือกประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ หลังการเลือกตั้งของประชาชนในเดือนพฤศจิกายน
แต่ละรัฐจะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรของรัฐนั้นๆ วิธีคิด คือ เท่ากับจำนวนวุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐนั้นรวมกัน ส่วนกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งแม้จะไม่มีสถานะเป็นรัฐ ไม่มีผู้แทนราษฎรที่มีสิทธิ์ออกเสียงในสภาคองเกรส แต่กฎหมายก็กำหนดให้มีคณะผู้เลือกตั้งได้ 3 คน
แม้ว่าคณะผู้เลือกตั้งจะมีสิทธิ์เลือกผู้สมัคร ซึ่งอาจจะเป็นคนเดียวกับที่ประชาชนต้องการหรือไม่ก็ได้ แต่ตามปกติแล้ว คณะผู้เลือกตั้งมักจะเลือกผู้สมัครที่ประชาชนข้างมากในรัฐของตนเลือกไว้
ทั้งนี้ รัฐส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ใช้กฎที่เรียกว่า Winner Takes All ซึ่งหมายถึง ผู้สมัครคนใดที่ได้คะแนนเสียง (Popular Vote) จากประชาชนในรัฐนั้นมากกว่า ก็จะได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) ของรัฐนั้นไปครองทั้งหมด ยกเว้น รัฐ Maine กับ Nebraska ที่จะจัดสรรคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งให้ตามคะแนนเสียงที่ผู้สมัครได้รับจากประชาชนในรัฐ
ในกรณีที่ไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงข้างมากหรือไม่น้อยกว่า 270 เสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ ฉบับแก้ไขครั้งที่ 12 ให้อำนาจสภาผู้แทนราษฎรเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ และให้วุฒิสภาเลือกรองประธานาธิบดี