วันนี้ (9 พ.ย.59) หลังจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาประกาศออกมาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ หรือ โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 จากพรรครีพับลิกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ.1946 นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และนักธุรกิจอุตสาหกรรมสื่อ วัย 70 ปี เป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนทั้งหมด 5 คน ของ เฟรด ทรัมป์ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์ก และหลังจากพี่ชายคนโต เฟรด ทรัมป์ จูเนียร์ ตัดสินใจที่จะประกอบอาชีพนักบิน ก็ทำให้ทรัมป์ได้เป็นผู้สืบทอดธุรกิจของครอบครัวแทน
ทรัมป์ เริ่มแสดงความสนใจลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรก เมื่อ 30 ปีที่แล้ว และเคยเสนอตัวลงสมัครเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ.2000 ในฐานะตัวแทนพรรคปฏิรูป ก่อนจะขอถอนตัวเพราะเกิดความขัดแย้งขึ้นในพรรค และนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2008 เป็นต้นมา ทรัมป์เป็นสมาชิกที่มีบทบาทมากที่สุดคนหนึ่งใน “ขบวนการเบิร์ทเธอร์” ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวที่ตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับสถานะพลเมืองของประธานาธิบดีบารัค โอบามา อีกด้วย
“เราต้องการใครสักคนที่สามารถนำพาสหรัฐฯ ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้” เป็นคำพูดที่ทรัมป์กล่าวระหว่างการประกาศตน นั่นจึงเป็นที่มาของสโลแกนรณรงค์หาเสียง “เมก อเมริกา เกรท อะเกน (Make America Great Again)” หรือ “ทำอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ซึ่งภายใต้แนวคิดนี้ ทรัมป์ ได้ให้คำมั่นว่าเขาจะทำให้เศรษฐกิจของอเมริกากลับมาแข็งแกร่ง ด้วยการสร้างงาน แต่ขณะเดียวกัน นโยบายหลายอย่างของเขาก็นำมาซึ่งกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างกำแพงตลอดแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก เสนอให้มีการประหารครอบครัวผู้ก่อการร้าย และการห้ามชาวมุสลิมเข้าประเทศชั่วคราว เป็นต้น
ถึงแม้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบทรัมป์ เพราะมองว่าเป็นคนที่พูดอะไรไม่คิด และมีนโยบายที่ไม่น่าจะทำได้จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่มหาเศรษฐีวัย 70 ปี ผู้นี้สามารถก้าวมาจนถึงจุดนี้ได้ เพราะหลายๆ คนมองว่าแม้ทรัมป์จะคนโผงผาง แต่ก็เป็นคนที่ปากตรงกับใจ และมักจะพูดในสิ่งที่ชาวอเมริกันอยากได้ยินนั่นจึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่ทำให้เขาได้ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนที่ 45
MANDEL NGAN / AFP
RHONA WISE / AFP
