วันนี้ (29 พ.ย. 59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะทำงานจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ ได้มีข้อสรุปร่วมกันว่าจะมีการย้ายพื้นที่ให้บริการรถตู้โดยสารอีกครั้ง โดยจะย้ายเฉพาะรถตู้โดยสารที่ให้บริการเส้นทางภาคเหนือ อีสาน และภาคกลางบางส่วน ที่ให้บริการในพื้นที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพจตุจักร หรือ หมอชิต2 โดยทั้งหมดจะต้องออกจากพื้นที่ด้านในที่ให้บริการในปัจจุบัน ไปอยู่บริเวณใต้ทางด่วนด้านหน้าหมอชิต2 แทน
พล.ต.อ.อำนาจ อันอาตม์งาม รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง หรือ บขส. ระบุว่า สาเหตุที่ต้องมีการย้ายพื้นที่ให้บริการ เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ด้านในยังแออัด และผู้โดยสารยังไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร โดยเบื้องต้นจะมีการก่อสร้างเป็นสถานีรถโดยสารขนาดเล็ก ที่เป็นสถานีปิด ติดแอร์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสำหรับผู้ใช้บริการ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการย้ายรถตู้ซ้ำซ้อนจากก่อนหน้านี้ที่มีการย้ายรถตู้มาจากอนุสาวรรีย์ชัยสมรภูมิ
สำหรับในช่วงแรก ได้สั่งการผู้ประกอบการที่นำรถโดยสารขนาดใหญ่จะต้องออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ส่วนร้านค้าร้านอาหารที่มี 23 ร้านจะต้องออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ เพื่อจะเร่งการจัดระเบียบพื้นที่ใหม่ เพื่อให้ทันกรอบเวลาที่วางไว้คือในวันที่ 1 พฤษภาคม ปี 2560
ส่วนกรณีที่ผู้ประกอบการสมาคมรถตู้โดยสารต่างจังหวัด ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ย้ายวินรถตู้กลับไปอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตามเดิม ยืนยันว่า ไม่สามารถย้ายกลับได้ เพราะปัจจุบันสามารถแก้ไขปัญหาจราจร ความปลอดภัยผู้โดยสาร รวมถึงแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลได้แล้ว ขณะนี้มีผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบด้านการเงิน 188 ราย คิดเป็นเงิน 110 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 2 ธันวาคม จะเชิญสมาคมธนาคารไทย มาร่วมประชุมในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเดินรถ เช่น การลดดอกเบี้ย
ขณะที่ นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เปิดเผยว่า ทาง ขสมก.มีความพร้อมจะเชื่อมต่อระบบตั๋วร่วมหรือบัตรแมงมุมตามนโยบายกระทรวงคมนาคม โดยคาดว่าจะใช้เวลา 6 เดือน เพื่อพัฒนาและทดลองเชื่อมต่อระบบตั๋วร่วมกับ E-ticket ของรถเมล์ไฟฟ้าจำนวน 200 คัน ควบคู่ไปกับการติดตั้งระบบตั๋วร่วมในรถเมล์ที่มีอยู่ประมาณ 2,600 คัน โดยเริ่มจากรถโดยสารปรับอากาศก่อน จากนั้นจะเร่งนำระบบดังกล่าว ไปติดตั้งในรถโดยสารธรรมดาหรือรถร้อน
อย่างไรก็ตาม การนำระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ เป็นแผนการปรับโครงสร้างของ ขสมก. เพื่อเตรียมรับมือการเป็นผู้ให้บริการในปี 2561 ซึ่งมีแผนลดพนักงานเก็บค่าโดยสารลง 4,000 คน จากปัจจุบันที่มีอยู่ทั้งหมด 9,000 คน ซึ่งจะเริ่มในช่วงเดือน กันยายน 2561 และลดค่าใช้จ่ายขององค์กรลงไปได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์