จับตาประชามติอิตาลี ระเบิดเวลาลูกใหม่ของอียู (คลิป)

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ และกระแสชาตินิยมที่ทำให้พรรคการเมืองแนวคิดต่อต้านอียูได้รับความนิยมมากขึ้น วันนี้ชาวอิตาลีจะไปลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์ว่าจะแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ตามที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี เสนอหรือไม่ โดยมีอนาคตทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศ เป็นเดิมพัน

สาระสำคัญของการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ คือ การลดอำนาจของวุฒิสภา และรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อให้รัฐบาลกลางมีเสถียรภาพในการบริหารประเทศ และทำให้การผ่านร่างกฎหมายที่จำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ง่ายและรวดเร็วขึ้น

แน่นอนว่า หากวันนี้ ฝ่ายที่โหวต “Yes” ชนะ รัฐบาลของนายเรนซีจะยังอยู่ในอำนาจต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งสมัยหน้า ในปี 2018 แต่ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทุกสำนัก กลับไม่เป็นไปในทิศทางนั้น

ชัยชนะของฝ่ายโหวต “No” จะสร้างความโกลาหลให้กับตลาดเงินทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากนายเรนซีประกาศจะรับผิดชอบด้วยการลาออกทันที เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่มีนโยบายต่อต้านอียูอย่าง M5S ชนะการเลือกตั้ง และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหัวหน้าพรรคดังกล่าวเคยประกาศว่าจะจัดลงประชามติว่าอิตาลีจะอยู่กับอียูหรือไม่ เช่นเดียวกับที่สหราชอาณาจักรเคยทำ

อย่างไรก็ตาม การที่อิตาลีจะออกจากอียู ตามสหราชอาณาจักร จะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายนัก เนื่องจากรัฐธรรมนูญของอิตาลีไม่ยอมรับให้ผลประชามติมีผลเปลี่ยนแปลงสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ผลกระทบที่เห็นได้ชัดที่สุด จึงไปตกอยู่กับระบบธนาคารพาณิชย์ของอิตาลี ซึ่งกำลังประสบปัญหาหนี้เสีย และยังรอการแก้ไขเร่งด่วนจากภาครัฐ ซึ่งหากภาคธนาคารของอิตาลีเกิดวิกฤตขึ้น ก็จะส่งผลกระทบลุกลามไปทั่วยุโรป รวมถึงอนาคตของสกุลเงินยูโรด้วย

 

แม้ว่าที่ผ่านมา ข่าวการลงประชามติของอิตาลีจะไม่ได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกมากนัก แต่เชื่อได้เลยว่า ผลการลงประชามติครั้งนี้ จะสั่นสะเทือนตลาดการเงินทั่วโลก ไม่น้อยไปกว่า ปรากฏการณ์เบร็กซิท และการเลือกตั้งในสหรัฐเลย

ขณะเดียวกัน ที่ประเทศออสเตรีย วันนี้จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบ 2 ซึ่งผลการเลือกตั้งวันนี้ก็เป็นที่จับตามองเช่นกัน เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่นายนอร์เบิร์ต โฮเฟอร์ ผู้นำพรรคฝ่ายขวาจัดที่มีนโยบายต่อต้านการรับผู้อพยพ จะเป็นฝ่ายชนะ และได้เป็นผู้นำฝ่ายขวาจัดคนแรกของอียู ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นเพราะบรรยากาศการเมืองในยุโรปยังคงคุกรุ่นจากกระแสเบร็กซิต ต้องติดตามกันต่อไป ว่าสถานการณ์ในยุโรปจากนี้จะเป็นอย่างไร