เหตุมือปืนสังหารเอกอัคราชทูตรัสเซียประจำตุรกี กลายเป็นประเด็นระดับโลกไปแล้ว เพราะถ้าหาทางออกที่ดีไม่ได้ อาจกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สามเอาง่ายๆ เพราะเหตุการในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในการลอบสังหารทูตออสเตรีย จนเป็นต้นกำเนิดของสางครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อ 102 ปีก่อน แต่คราวนี้โอกาสที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย คงเป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งประธานาธิบดีปูติน ของรัสเซีย และนายเออร์โดอานของตุรกี ต่างรีบออกมายืนยันเหมือนนัดหมายกันมาว่า เหตุยิงทูตรัสเซีย เป็นความพยายามของใครบางคน ที่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ร้าวฉานขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเคยโกรธกันเมื่อปีที่แล้ว จากเหตุเครื่องบินรบของรัสเซีย ถูกกองทัพตุรกียิงตก
ถ้าหากเป็นเรื่องของความพยายามเสี้ยมเขาให้ 2 ประเทศชนกัน นักวิเคราะห์หลายคนบอกตรงกันว่าคิดผิด เพราะสิ่งที่ตามมาจากนี้ก็คือ รัสเซียจะโหมสรรพกำลังโจมตีกลุ่มไอเอส รวมถึงกลุ่มกบฎแบบหนักข้อขึ้นไปอีกเพื่อเป็นการแก้แค้น
และที่สำคัญ ทั้งรัสเซียและตุรกี ต่างต้องการซึ่งกันและกัน ในการโจมตีซีเรีย แต่หลังจากโจมตีเสร็จสิ้นแล้ว คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะผลประโยชน์ที่ตุรกีกับรัสเซียต้องการนั้น มีความขัดแย้งกันอยู่ แต่ในช่วงหลังๆ ที่ผลประโยชน์ของ 2 ประเทศ เริ่มปรับตัวเข้าหากันได้แล้ว โดยเฉพาะตุรกี ที่เคยสนับสนุนกลุ่มกบฎในซีเรีย ก็หันมาต่อต้านบ้าง เพราะกลัวว่า กลุ่มกบฎในซีเรีย ซึ่งเป็นชาวเคิร์ด จะสนับสนุนกลุ่มกบฎในตุรกี ซึ่งชาวเคิร์ดเช่นกัน
อีกหนึ่งประเด็นที่รัสเซียและตุรกีพยายามเลี่ยงไม่กล่าวหาซึ่งกันและกันคือ ฝ่ายรัสเซียบอกว่า เป็นแผนการของกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี ที่ต้องการเห็น 2 ประเทศแตกหักกัน ขณะที่ผู้นำตุรกีก็รับลูกว่า น่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มที่ภักดีต่อนายเฟตุลเลาะห์ กูเลน คู่ปรับตลอดการลของรัฐบาลนายเออ์โดอาน
คำกล่าวของผู้นำ 2 ประเทศ ช่างขัดแย้งกับคำพูดของมือปืน ที่พูดไว้หลังยิงทูตรัสเซียเสียชีวิตว่า "อย่าลืมอเลปโป อย่างลืมซีเรีย พระเป็นเจ้าคือผู้ยิ่งใหญ่" หมายถึงอยากให้โลกตระหนักถึงสิ่งที่ชาวซีเรียในเมืองอเลปโปถูกกระทำ จากฝีมือของ 2 ประเทศนี้
แต่สิ่งที่บรรดาผู้นำทั่วโลก ต่างกังวลนั่นคือ นับจากนี้ความปลอดภัยในชีวิตพวกเขา จะแน่ใจได้แค่ไหน เพราะคนที่ยิงทูตรัสเซีย ก็คือเจ้าหน้าที่ ที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเขานั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น ลองถามอดีตผู้นำอินเดีย ที่ชื่ออินทิราและราจีฟ คานธีดูก็ได้