รายงานซึ่งได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ประเมินว่า ประชากรเสือชีตาห์ในธรรมชาติทั่วโลกปัจจุบันอาจเหลืออยู่เพียง 7,100 ตัว โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ 6 ประเทศทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา เช่น ในประเทศซิมบับเว ประชากรเสือชีตาห์ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ได้ลดลงอย่างน่าใจหาย จาก 1,200 ตัว เหลือเพียง 170 ตัว เท่านั้น
ส่วนในทวีปเอเชีย อาจเรียกได้ว่ากำลังรอเวลา “สูญพันธุ์” ก็ว่าได้ เนื่องจากมีจำนวนไม่ถึง 50 ตัว ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในประเทศอิหร่านเท่านั้น หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เสือชีตาห์อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ คือธรรมชาติของเสือชีตาห์ที่มักจะออกหากินเป็นระยะทางไกล จนออกนอกพื้นที่คุ้มครอง ทำให้มีการเผชิญหน้ากับมนุษย์มากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาพื้นที่เพื่อทำการเกษตรและการล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย ทำให้เหยื่อของเสือชีตาห์ตามธรรมชาติลดลงไปด้วย
ขณะที่อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก คือการลักลอบค้าลูกเสือชีตาห์ ซึ่งเป็นที่ต้องการจากประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซีย โดยลูกเสือชีตาห์ตัวหนึ่งอาจขายได้ราคาสูงถึง 3 แสน 6 หมื่นบาท ในตลาดมืด ขณะที่ข้อมูลจากกองทุนอนุรักษ์เสือชีตาห์ ระบุว่า ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มีการลักลอบนำลูกเสือชีตาห์ออกจากทวีปแอฟริกาแล้วกว่า 1,200 ตัว และที่น่าตกใจคือ 4 ใน 5 ตัว ตายระหว่างขนส่ง
ด้วยธรรมชาติของเสือชีตาห์ที่มักจะหลบซ่อนตัวไม่ให้พบเห็นง่ายๆ จึงติดตามจำนวนประชากรได้ยาก ซึ่งทำให้ที่ผ่านมาปัญหานี้มักจะถูกมองข้ามไป โดยผู้จัดทำรายงานฉบับนี้เรียกร้องให้ สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ หรือ ไอยูซีเอ็น พิจารณาจัดประเภทให้เสือชีตาห์อยู่ในบัญชีสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ (endangered) จากปัจจุบันที่เป็นสัตว์ที่อยู่ในข่ายเกือบใกล้สูญพันธุ์ (vulnerable) เพื่อสร้างความตระหนักว่าหากไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ เสือชีตาห์จะต้องสูญพันธุ์ไปจากโลกอย่างแน่นอน