วันนี้ (26 ม.ค. 60) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ใช้อำนาจพิเศษ ลงนามคำสั่งให้เริ่มออกแบบและสร้างกำแพงป้องกันแรงงานลักลอบเข้าเมือง ความยาวกว่า 3,000 กม. บริเวณพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ได้ไม่นาน ล่าสุด ทางการเม็กซิโกออกมาตอบโต้แล้ว โดยประธานาธิบดีเอ็นริเก เปญา นิเอโต ของเม็กซิโก แถลงต่อประชาชนผ่านสถานีโทรทัศน์ ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่จ่ายเงินสร้างกำแพงดังกล่าว โดยไม่ได้ระบุว่า จะยกเลิกหรือเลื่อนกำหนดการเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดีซี ในช่วงสิ้นเดือนนี้หรือไม่
ด้านผู้นำพรรคฝ่ายค้านเม็กซิโก ออกมาเรียกร้องให้ผู้นำเม็กซิโกยกเลิกกำหนดการเยือนสหรัฐฯ และยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อสหประชาชาติ ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนและเหยียดเชื้อชาติ
ส่วนที่สหรัฐฯ ล่าสุดมีกลุ่มนักเคลื่อนไหวและชาวอเมริกัน เชื้อสายเม็กซิกันจำนวนมากมารวมตัวประท้วงที่หน้าศาลาว่าการรัฐโคโลราโด หลายคนที่เข้าประเทศโดยถูกกฎหมายยังยอมรับว่า รู้สึกกังวลว่าอาจจะถูกส่งตัวกลับประเทศด้วยเช่นกัน เพราะตามคำสั่งของทรัมป์ เท่ากับว่าพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนไหนๆ จากรัฐบาลกลางแล้ว ส่วนปฏิกิริยาของประชาชนในเม็กซิโก ก็มีหลากหลาย บางคนบอกว่ารู้สึกกังวลกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของสหรัฐฯ และเม็กซิโก บ้างก็บอกว่า กำแพงแค่นี้ไม่สามารถหยุดยั้งผู้อพยพที่ต้องการจะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้
หลายฝ่ายบอกว่าการกระทำของทรัมป์ในครั้งนี้ เท่ากับเป็นการดูถูกและตบหน้ารัฐบาลเม็กซิโกอย่างจัง เพราะการลงนามคำสั่งมีขึ้นในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเม็กซิโกเดินทางมาหารือเรื่องภารกิจการเยือนสหรัฐ ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งทันทีที่ทราบข่าว เจ้าหน้าที่ของเม็กซิโกก็ตอบโต้ว่า ในอนาคต เม็กซิโกคงต้องยึดหลักการ Mexico First หรือเม็กซิโกต้องมาก่อนบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตามคำสั่งสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐ-เม็กซิโก ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ ก่อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลกลาง ซึ่งคาดว่าอาจสูงถึง 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4 แสนล้านบาท ซึ่งทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว ABC News ยืนยันว่า สหรัฐฯ จะสำรองจ่ายไปก่อน แล้วจะไปตามเก็บจากเม็กซิโกเต็มจำนวน
นอกจากคำสั่งสร้างกำแพงกั้นพรมแดนแล้ว ทรัมป์ยังลงนามสั่งจ้างเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มอีก 10,000 คน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจตราบริเวณพรมแดน และยกเลิกการให้เงินอุดหนุนแก่เมืองที่เป็นแห่ลงพักพิงให้กับผู้ลักลอบเข้าเมือง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 100 แห่ง ทั่วประเทศ เช่น ลอสแอนเจลิส ซีแอตเทิล และบอสตัน อีกทั้งยังให้สัมภาษณ์ว่า จะหารือกับกระทรวงกลาโหม และซีไอเอ เพื่อให้มีการนำวิธีทรมานนักโทษมาใช้ในการปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศด้วย โดยบอกว่า คนเหล่านี้ฆ่าปาดคอตัวประกันในตะวันออกกลางเช่นกัน จึงต้องจัดการด้วยวิธีตาต่อต่า ฟันต่อฟัน