จากข้อมูลที่ทีมข่าวนำมาเปรียบเทียบให้ดู จะเห็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนอยู่หลายประการ อย่างแรกที่ชัดเจน คือ การสอบใบขับขี่รูปแบบใหม่ จะย้ายสถานที่จากสำนักงานขนส่งตามจังหวัด ไปที่โรงเรียนสอนขับรถเอกชน ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมการขนส่งทางบก และ 15 ชั่วโมงสำหรับการอบรมก็เกิดขึ้นที่โรงเรียนเอกชนทั้งหมด โดยเพิ่ม 10 ชั่วโมง ให้ต้องมีการเรียนขับรถจริงๆ ต่างจากเดิม ที่จะสอนเฉพาะภาคทฤษฎีและกฎจราจรเท่านั้น หมายความว่า การเรียนภาคทฤษฎี 5 ชั่วโมง ยังคงเหมือนเดิม หลักสูตรเดิม คือการดูวิดีโอ และหลักในการสอบทฤษฎีก็เป็นเช่นเดิม เพียงเปลี่ยนไปสอบที่โรงเรียนเอกชนได้เลย
ส่วนภาคปฏิบัติ แต่เดิมไม่มีการเรียน เพราะผู้ที่จะมาสอบ ควรจะต้องขับรถเป็นมาก่อนอยู่แล้ว แต่รูปแบบใหม่ จะมาจากสมมติฐานที่ว่า คนที่ไม่มีใบขับขี่ คือคนที่ยังขับรถไม่เป็น และต้องมาเรียนอย่างถูกวิธีในโรงเรียนที่ได้รับการรับรองอีก 10 ชั่วโมง จึงจะมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากมองอย่างเป็นธรรม ก็จะเห็นได้ว่า ระบบใหม่ ผ่านการอบรมที่เข้มข้นกว่าจริง หากสามารถควบคุม กำกับดูแลมาตรฐานได้จริง แต่ก็มีปัญหาตรงที่ใช้เวลานานขึ้น และทำให้ผู้ที่จะสอบใบขับขี่ ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการเรียน จากเดิมที่เสียเพียงค่าธรรมเนียมเท่านั้น
สำหรับโรงเรียนสอนขับรถเอกชน ที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบกแล้ว มีประมาณ 90 แห่ง อยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 50 กว่าแห่ง โดยในพื้นที่ใด ที่ยังไม่มีโรงเรียนได้รับการรับรอง ก็จะให้ใช้กลไกของรัฐไปก่อน ที่น่าสังเกต คือ กระบวนการเช่นนี้ อาจทำให้ถูกมองได้ว่า ไปช่วยเพิ่มรายได้ ให้โรงเรียนสอนขับรถที่กรมการขนส่งทางบกรับรอง
