วันนี้ (25 มี.ค. 60) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อาวุธสำคัญของการก่อการร้าย คือความกลัว ความหวาดระแวงว่าเหตุร้ายจะเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไหร่ก็ได้ กลุ่มก่อการร้าย ไอเอส ถือว่ามีความเชี่ยวชาญในการใช้สื่อเพื่อสร้างอารมณ์ มากกว่ากลุ่มก่อการร้ายใดๆ ตั้งแต่การใช้มุมกล้องเล่าเรื่องขณะกำลังประหารนักโทษด้วยเปลวเพลิงของพระเจ้า มาจนถึงวันนี้ ไอเอส ที่แม้จะเปลี่ยนไปจากเดิม ก็ยังคงใช้ช่องทางต่างๆ อย่างมียุทธวิธี
หลังเหตุก่อการร้ายที่เขตเวสต์มินสเตอร์เพียงแค่สองวัน ภาพถ่ายภาพเดียวของผู้ก่อเหตุที่สื่ออังกฤษถ่ายไว้ได้ ถูกนำไปตัดต่อ และใช้เป็นโฆษณาชวนเชื่อในการระดมกำลังนักรบเพื่อการก่อเหตุแบบเดียวกันในอนาคต ใจความที่สื่อออกมาในโปสเตอร์ เป็นการยกย่องนาย คาลีด มาซูด เยี่ยงวีรบุรุษของกลุ่ม สอดคล้องกับข้อความก่อนหน้านี้ ที่เรียกร้องให้บรรดาแนวร่วมกระทำการจีฮาดด้วยวิธีธรรมดาทั่วไปๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นอาวุธสงคราม
แม้จะมีบทเรียนจาก เหตุก่อการร้ายระหว่างประชาชนเฉลิมฉลองวันชาติฝรั่งเศส ที่เมืองนีซเมื่อปีที่แล้ว หรือ แม้แต่เหตุก่อการร้ายรูปแบบเดียวกันที่ประเทศ เยอรมนี เจ้าหน้าที่เผยว่าการสกัดเหตุร้ายที่เกิดจากคนๆ เดียวนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ทั้งที่ก่อนก่อเหตุโจมตีที่อาคารรัฐสภาอังกฤษ สื่อไอเอส ได้ทำโปสเตอร์ชวนเชื่อและขู่เอาไว้ก่อนแล้ว
ภาพ หอนาฬิกา บิ๊กเบน ที่ลุกเป็นไฟ แล้วมีควันดำลอยขึ้นไปบนฟ้า ให้อารมณ์คล้ายๆ กับเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 เพราะบิ๊กเบน เป็นสัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวลอนดอน ไม่ต่างจากอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก กลุ่มไอเอสยังมี ภาพโปสเตอร์ ขู่ว่าจะก่อเหตุในสหรัฐฯ ด้วย โดยในภาพเป็นเทพีเสรีภาพที่เป็นเป้าหมาย – ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการประกาศสงคราม
สหรัฐประกาศสงครามกับกลุ่มก่อการร้าย ในยุค ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช หลังเหตุการณ์ 11 กันยา ปี 2001 14 ปีต่อมา ฝรั่งเศสประกาศสงครามกับกลุ่มก่อการร้าย หลังเหตุโจมตีกรุงปารีสในเดือนพฤศจิกายน แต่นักรบของกลุ่มก่อการร้ายนั้นเป็นใครก็ได้ ที่เชื่อในอุดมการณ์ การก่อสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือว่า จิฮาด ผู้ก่อเหตุไม่ต้องไปฝึกการสู้รบเหมือนแต่ก่อน นิยามคำว่า “นักรบไร้หน้า” เป็นความจริงที่สหราชอาณาจักรเพิ่งได้ประสบเอง
