พบ “พลทหารยุทธกินันท์” ถูกซ้อมจนกล้ามเนื้อลายสลาย เสียชีวิต   

ภาพจำลองที่ทีมข่าวพีพีทีวี สร้างขึ้นจากคำบอกเล่าของ นางเรณู หมดราคี แม่ผู้เสียชีวิต ที่ได้เห็นสภาพของลูกชายที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ก่อนสิ้นใจ  ร่างกายของพลทหารยุทธกินันท์ บุญเนียม มีบาดแผลกระจายทั่วบริเวณ นอกจากใบหน้าและศีรษะที่บวมผิดรูปตามที่ปรากฎเป็นข่าว ยังมีรอยฟกช้ำที่จมูก ตา หน้าผาก ไหล่ทั้ง 2 ข้าง

ส่วนใต้แขนทั้งข้างซ้ายและขวา มีแผลถลอกปนเลือดอยู่ทั้ง 2 ด้าน   หน้าแข้งซ้ายขวา ปรากฎรอยฟกช้ำ และพบรอยฟกช้ำขนาดใหญ่สีม่วงคล้ำบริเวณเข่าและต้นขาด้วย ขณะที่หน้าอกก็มีรอยถลอกปนเลือดคล้ายกับใต้แขน ส่วนแผ่นหลังพบแผลพุพอง กระจายเต็มทั้งแผ่นหลัง

ข้อมูลเบื้องต้นนี้ สอดคล้องกับใบรับรองการตายของโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ที่ระบุว่า สาเหตุการเสียชีวิตของพลทหารยุทธกินันท์ บุญเนียม มาจากกล้ามเนื้อลายสลาย อาการนี้เกิดขึ้นได้จากการถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง จนเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน

ขณะที่ความคืบหน้าในการสืบหาข้อเท็จจริง พล.ต.วิชัย ทัศนมณเฑียร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่45 ในฐานะผู้ดูแลค่ายวิภาวดีรังสิต เปิดเผยกับพีพีทีวี ว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยมีการตั้งสมมติฐานว่า การซ้อมเกิดขึ้นภายในเรือนจำ โดยแม่ทัพภาคที่4 และผู้บัญชาการทหารบก ได้เน้นย้ำให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด เพราะเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ ส่วนสาเหตุที่ทำให้พลทหารคนนี้ ถูกควบคุมตัวอยู่ภายในเรือนจำ เบื้องต้นทราบว่าเกิดขึ้นจากการทำผิดวินัยของทหาร

ส่วนความคืบหน้าทางคดีของตำรวจ พล.ต.ต.อภิชาติ บุญศรีโรจน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ไม่ขอให้ข้อมูลในรายละเอียด เนื่องจากเรื่องอยู่ในสำนวนคดี เบื้องต้นยังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมหลักฐาน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เอกสารการตรวจร่างกายที่พลทหารยุทธกินันท์ ต้องตรวจร่างกายก่อนถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ซึ่งจะบอกได้ว่า ก่อนถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ พลทหารยุทธกินันท์ ถูกทำร้ายร่างกายมาก่อนหรือไม่

เบื้องต้น ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่45 สั่งย้าย ผู้บัญชาการเรือนจำ และสิบเวรที่เข้าเวรเรือนจำคืนเกิดเหตุ ไปช่วยงานที่อื่นก่อนแล้ว  แม้จะยังไม่สามารถสรุปได้ว่าทั้ง 2 เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือไม่ แต่ที่ต้องดำเนินการแบบนี้ เพื่อให้การสอบสวนของตำรวจเป็นไปด้วยความสะดวก หรือหาก ทั้ง 2 คนนี้ เกี่ยวข้องหรือรับรู้การทำร้ายร่างกายพลทหารยุทธกินันท์ก่อนเสียชีวิต ก็ถือว่าเป็นการป้องกันไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับพยานบุคคลโดยเฉพาะกลุ่มทหารที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำด้วยกัน