การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบชิงดำวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคมนี้ นอกจากจะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 60 ปีที่ไม่มีผู้สมัครจากพรรคการเมืองหลักๆ ของประเทศฝรั่งเศสเข้าชิงชัยแล้ว ยังเป็นการเลือกตั้งที่มีอนาคตของยุโรปเป็นเดิมพันด้วย
นับตั้งแต่การเลือกตั้งรอบแรกที่ผ่านมา ทั้ง นางมารีน เลอ เปน และ นายเอ็มมานูเอล มาครง ก็พยายามใช้กลยุทธ์เจาะฐานเสียงของฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น เลอ เปน ที่มีแนวคิดสุดโต่ง พยายามปรับภาพลักษณ์ของตัวเองให้อ่อนลง
จากที่ก่อนหน้านี้ เธออาศัยกระแสความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอียู โดยเฉพาะการรับผู้อพยพจากตะวันออกกลางตามโควต้าเศรษฐกิจ ที่สร้างความแตกแยกอย่างมากในอียู จนเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่อังกฤษมีการทำประชามติจนเป็นผลสำเร็จมาแล้ว
ล่าสุด เลอ เปน ตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นหัวหน้าพรรคเนชันนัลฟรอนท์ พรรคขวาจัดชาตินิยมของเธอ เพื่อลดความเชื่อมโยงกับภาพลักษณ์ของพรรคที่อาจจะสุดโต่งเกินไปสำหรับคนฝรั่งเศสทั่วๆ ไป
ซึ่งก็ดูจะเป็นวิธีที่ได้ผล เพราะจากผลสำรวจคะแนนนิยมล่าสุด แม้ว่าเลอ เปน จะยังตามหลัง มาครง อยู่ แต่คะแนนของเธอก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่การเลือกตั้งรอบแรก อีกด้านหนึ่ง มาครง ก็เดินสายเจาะฐานเสียงของ เลอ เปน เช่นกัน
ชัยชนะของมาครงในการเลือกตั้งรอบแรก เป็นข่าวดีไปทั่วยุโรป เพราะนักวิเคราะห์มองว่า ว่าที่ผู้นำคนต่อไปของฝรั่งเศสคนนี้ จะไม่หันหลังให้อียู แต่มาวันนี้ จุดยืนของมาครงต่ออียูจะเริ่มจะไม่ชัดเจนแล้วเหมือนกัน ระหว่างให้สัมภาษณ์ทางทีวี มาครง ยอมรับว่าตอนนี้อียูมีปัญหามาก และถ้าไม่แก้ไขก็จะเป็นการทรยศต่อประชาชนชาวฝรั่งเศสที่เลือกเขามา
มาครงที่มีภาพลักษณ์เป็นผู้สมัครที่สนับสนุนอียูมาโดยตลอดให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีเมื่อวานนี้ว่า หากอียูไม่มีการปฏิรูป ฝรั่งเศสก็อาจจะต้องทำประชามติเพื่อแยกตัว เหมือนกับที่อังกฤษทำประชามติ เบร็กซิท เมื่อปีที่แล้ว
เมื่อผู้สมัครที่เปรียบเสมือนความหวังเดียวของอียูในการเมืองฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศผู้ร่วมก่อตั้งอียู เผยท่าทีออกมาเช่นนี้ นั่นหมายความว่า ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสทั้งสองคน ต่างมองว่า อียู ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว
ตอนนี้ ก็ขึ้นอยู่กับชาวฝรั่งเศส ว่าจะต้องการความเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันของ เลอ เปน หรือว่าเชื่อคำพูดของ มาครง ในการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปในอียู