เชือกกำลังพันคอโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะถูกกล่าวหาว่า ไปขอให้เจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ เลิกสอบสวนคดีที่นายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคง แอบไปเจรจาลับกับเจ้าหน้าที่รัสเซีย เพื่อผลประโยชน์ในการเลือกตั้ง ทำให้เสียงเรียกร้องให้”อิมพีช”หรือปลดทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีดังขึ้นทันที เพราะไปเข้าข่ายข้อหา พยายามขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นคดีอาญาที่ยอมความไม่ได้
คราวนี้มาดูกันว่า การจะถอดถอนประธานาธิบดีนั้น ตัวประธานาธิบดีต้องกระทำความผิดอะไรบ้าง อย่างแรกคือ ทรยศหรือทำตัวเป็นกบฎต่อประเทศชาติ สองคือรับสินบน และ สาม คือ ก่อคดีอาญา เมื่อมีมูลว่าประธานาธิบดีอาจเข้าข่ายกระทำความผิด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็จะมีมติเสียงส่วนใหญ่ให้ดำเนินการถอดถอน และเมื่อผ่านสภาผู้แทนราษฎแล้ว เรื่องจะถูกส่งไปถึงวุฒิสภาที่มีประธานศาลฎีกาเป็นประธาน
ถึงขั้นตอนนี้ สมาชิกผู้แทนราษฎร จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นอัยการสั่งฟ้อง ส่วนประธานาธิบดีก็ต้องหาทนายมาแก้ต่าง ในขณะที่สมาชิกวุฒิสภา จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับลูกขุน และถ้า 2 ใน 3 ของลูกขุนชุดนี้บอกว่าประธานาธิบดีทำผิดจริง ก็จะถูกถอดถอนจากตำแหน่งโดยทันที
แต่ยังมีอีก 1 วิธีที่จะถอดถอนได้ก็คือ การบังคับใช้ญัตติที่ 25 ในกฏหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐที่ระบุว่า ถ้าประธานาธิบดีไม่อยู่ในสภาพที่จะสามารถทำงานหรือใช้อำนาจได้ ก็ให้รองประธานาธิบดีขึ้นมารักษาการแทน ส่วนตัวประธานาธิบดีเอง ก็มีสิทธิที่จะโต้แย้งได้เช่นกัน
ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เคยมีประธานาธิบดีถูกดำเนินการถอดถอนจากตำแหน่งทั้งสิ้น 3 คน คือนายแอนดรูว์ แจ็คสัน กับนายบิล คลินตัน ซึ่งกรณีของ 2 คนนี้ ไม่ผ่านขั้นตอนของวุฒิสภา ที่เห็นว่า ไม่ควรดำเนินการต่อ ส่วนอีกคนคือนายริชาร์ด นิกสัน จากคดี “วอเตอร์เกตส์”อันโด่งดังนั่นเอง แต่ขั้นตอนการถอดถอนยังเริ่มไปไม่ทันเท่าไหร่ เขาก็ชิงลาออกเสียก่อน
และอย่างที่บอกตอนต้นว่า การถอดถอนทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ยังเป็นเรื่องห่างไกล เพราะยังไม่มีใครเห็นหลักฐานของนายโคมีย์เลยด้วยซ้ำ ส่วนทำเนียบขาวก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่า ถึงจะมีข้อมูล แต่ก็เป็นข้อมูลเท็จทั้งสิ้น และถ้าเรื่องไปถึงรัฐสภาจริง ก็ใช่ว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ เพราะคนของรีพับลิกันนั่งกันอยู่กว่าครึ่งสภา แต่ก็ไม่แน่ เพราะตอนนี้คนที่หมั่นไส้ทรัมป์ ไม่ใช่มีเฉพาะเดโมแครตเท่านั้น