แม้จะมีความชุลมุมและกระแสต่อต้านเกิดขึ้นกับเวทีรับฟังความคิดเห็นแก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ทั้ง 4 เวที ใน 4 ภูมิภาค แต่ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และทำหน้าประธานคณะกรรมการจัดรับฟังความคิดเห็นสรุปผลจาก 4 เวทีว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า มีความจำเป็นต้องแก้กฎหมายบัตรทอง เพื่อปรับปรุงคุณภาพการรักษาให้ดียิ่งขึ้น และแก้ปัญหาให้กับโรงพยาบาลรัฐที่อยู่ในสภาพแบกรับภาระขาดทุนอย่างหนักในหลายแห่ง
ส่วนในรายละเอียดของการแก้ไขเนื้อหากฎหมายจะเป็นอย่างไร นพ.พลเดช เรียกร้องให้กลุ่มคัดค้านเข้าสู่กระบวนการเสนอความเห็น เพราะมองว่า การล้มเวทีไม่เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย
ส่วนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลรัฐหลายแห่ง คือ การแบกรับภาระต้นทุนในส่วนที่สปสช.จ่ายเงินสนับสนุนให้ไม่ได้ เพราะติดขัดข้อกฎหมาย และถูกหยิบยกมาเป็นเหตุผลหลักของการผลักดันแก้ไขกฎหมายรอบนี้ นพ.สกล สุขพรหม รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เปิดเผยว่า ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะแม้ที่ผ่านมา สปสช.จะจ่ายงบอุดหนุนรายหัวของประชาชนให้กับโรงพยาบาลรายละประมาณ 3,109 บาท แต่เงินที่โรงพยาบาลได้รับจริงเหลือเพียงไม่ถึงร้อยละ 30 หลังถูกหักค่าเงินเดือนพนักงานประกอบกับการหักเงินสมทบกองทุนย่อยที่ สปสช.ตั้งขึ้นมา ทำให้เงินที่รับได้อุดหนุนไม่สะท้อนต้นทุนจริงในการรักษา
สอดคล้องกับนายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ออกมาย้ำอีกครั้งว่า การแก้กฎหมายบัตรทองครั้งนี้ มีเป้าหมายหลักคือการแก้ปัญหาบริหารเงินในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ใช่การลดทอนสิทธิประชาชน เพราะที่ผ่านมาการใช้จ่ายเงินในกองทุนฯ ยังไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฉบับเดิม จนส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่งได้รับผลกระทบ
ส่วนประเด็นที่ฝ่ายคัดค้านโดยเฉพาะกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ มองว่า การปรับแก้กฎหมายฉบับนี้ เอื้อประโยชน์ให้กระทรวงสาธารณสุข เพราะมีเนื้อหาเพิ่มจำนวนตัวแทนของกระทรวงฯเข้าไปในบอร์ด สปสช. ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า เพราะในทางปฏิบัติตัวแทนจากภาคส่วนอื่นก็ยังมีอยู่ในคณะกรรมการและสามารถถ่วงดุลอำนาจได้