ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเปิดเผยเอกสาร ‘การ์เซีย รีพอร์ต’ โดยหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ บิลด์ ส่งผลให้ทีมงานเสนอตัวเป็นเจ้าฟุตบอลโลก 2018 ของอังกฤษ ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก โดยเรื่องอื้อฉาวล่าสุดที่พบในรายงาน 422 หน้า ซึ่งจัดทำโดย ไมเคิล การ์เซีย อดีตเจ้าหน้าที่ของฟีฟ่าที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสอบสวนความไม่โปร่งใส ในการคัดเลือกเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 และ 2022 คือรายงานการประชุมลับที่โรงแรมหรูในนครซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี 2010
ทั้งนี้ ภายในที่ประชุมครั้งนั้นประกอบไปด้วย เจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ อดีตนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน และ ชุงมองจุน รองประธานฟีฟ่าชาวเกาหลีใต้ในขณะนั้น ซึ่งในที่ประชุมมีรายงานว่า เดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ขอให้เกาหลีใต้ช่วยโหวตให้อังกฤษในการเลือกเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2018 และสัญญาว่าอังกฤษจะช่วยโหวตให้เกาหลีใต้ในปี 2022 ซึ่งหากมีการเจรจาต่อรองในรูปแบบนี้จริง ถือว่าผิดกฏ Anti-Collusion Rules รวมถึงยังไม่ผ่านมาตรฐานของ FCE หรือ กติกาการเลือกเจ้าภาพฟุตบอลโลก
รายงานฉบับนี้ยังได้แสดงให้เห็นถึงข้อมูลที่ว่า ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษเตรียมเดินทางมาอุ่นเครื่องที่ประเทศไทย หากได้รับคะแนนโหวตจากนายวรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกฟีฟ่า
นายเจฟฟ์ ธอมป์สัน อดีตประธานสมาคมฟุตบอลอังกฤษ และหัวหน้าทีมเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ยอมรับว่าในรายงานการสืบสวนระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2010 เพียง 8 วันก่อนการประชุมโหวตเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2018 และ 2022 แต่สุดท้ายอังกฤษไม่ได้รับเสียงโหวตจากประเทศไทย รวมถึงยังมีรายงานว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลอังกฤษได้ทุ่มงบประมาน 21 ล้านปอนด์ เพื่อให้เจ้าชายวิลเลียม เดวิด เบ็กแฮม และเดวิด คาเมรอน ช่วยกันล็อบบี้ให้อังกฤษได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก แต่ทางเจ้าชายวิลเลียมทรงไม่พอพระทัยเนื่องจากเคยตรัสว่า ทรงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องประจบคนเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอังกฤษจะไม่ได้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 โดยผลของการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพนั้นดับลงตั้งแต่รอบแรก โดยได้รับผลโหวตเพียง 2 เสียงเท่านั้น ทำให้รัสเซียซึ่งได้คะแนนโหวตมากกว่าเป็นผู้ชนะไป แต่รายงานของการ์เซียทำให้อังกฤษเสียชื่อเสียงอย่างมากในครั้งน ซึ่งข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ความพยายามของแต่ละชาติในการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกโดยเฉพาะอังกฤษ มีมากกว่าขอบเขตที่ FCE ได้กำหนดไว้ และเป็นการแสดงให้เห็นความจริงว่า วัฒนธรรมของความโลภเป็นที่ยอมรับ และกำลังกัดกินภายในองค์กรของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า อยู่ในขณะนี้