“เผาบ้าน เผาเมือง เผาสุเหร่า เผาโรงเรียนสอนศาสนา เอาผู้หญิงไปข่มขืน เอาเด็กไปเผากองไฟ แล้วอยู่อย่างนี้คนที่เหลือจะรอดไหม ทุกคนที่หนีมา คือ หนีไฟมา ไม่ใช่ว่า อยู่ๆมีบ้านตัวเอง อยู่ๆทิ้งบ้านตัวเองไปอยู่บ้านคนอื่นง่าย ๆ” คำตัดพ้อชีวิตของ “อามิน” ชาวโรฮิงญาคนนี้ บอกได้อย่างดีถึงเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องทิ้งบ้านเกิดที่รัฐยะไข่ ประเทศเมียนมาร์ เข้ามาใช้ชีวิตต่างแดนในเมืองไทยนานกว่า 30 ปี แล้ว
สถานะที่ “ไร้สัญชาติ” ตั้งแต่เกิดที่รัฐยะไข่ ทำให้ “อามิน” ใช้ชีวิตไม่สะดวก สบายเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แม้เขาจะมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และ ประกอบอาชีพสุจริตกับครอบครัว
ชีวิตของอามินเป็นภาพสะท้อนชาวโรฮิงญาในเพียงมุมหนึ่งของความดิ้นรน จนหลุดพ้นมามีชีวิตใหม่ในต่างแดน แต่ในมุมของชาวโรฮิงญาและคนที่ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชน ยอมรับว่า มีชาวโรฮิงญาอีกจำนวนไม่น้อย ที่ต้องโดนพวกเดียวกันเป็นนายหน้ากวาดต้อนเข้าสู่ธุรกิจค้ามนุษย์ โดยมีลักษณะทำงานเป็นเครือข่ายซับซ้อน มีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐหลายประเทศ
ปัจจุบันแม้สถานการณ์ค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาจะไม่รุนแรงเท่าเดิม แต่เป็นที่ยอมรับในหมู่คนที่ติดตามสถานการณ์ว่า ยังไม่หมดไป เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบเดินทางไปนั่งเครื่องบิน นั่งรถ หนรือเดินเท้าข้ามประเทศแทนการขนส่งทางเรือ และไทยกลายเป็นเพียงทางผ่านไปยังประเทศที่ 3 หลังรัฐบาลเข้มงวดกับปัญหาค้ามนุษย์มากขึ้น นายสุรพงษ์ แสดงความเห็นว่า เจ้าหน้าที่ควรขยายผล ตรวจสอบการค้ามนุษย์กลุ่มอื่น เพราะยังมีประเทศที่มีปัญหาทางการเมือง ศาสนา และการสู้รบ เช่น กลุ่มอุยกูร์ ปาเลสไตน์จากซีเรีย และปากีสถานที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์เหมือนชาวโรฮิงญา
สมภพ แซ่โง้ว ถ่ายภาพ
ณิชาภัทร อินทรกล่อม รายงาน