ประเด็นสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีถูกสะท้อนขึ้นมาอย่างชัดเจนระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่กรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ไฮไลท์สำคัญของการประชุมครั้งนี้ คือ การออกแถลงการณ์ร่วมของชาติสมาชิกอาเซียนต่อการทดสอบขีปนาวุธ 2 ครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ ที่น้ำหนักของภาษาที่ใช้แข็งกร้าวกว่าแถลงการณ์ฉบับก่อนๆ
โดยอาเซียนได้เรียกร้องเกาหลีเหนือให้ปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และเปลี่ยนท่าทีในทางบวกเพื่อส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค
แม้ว่าท่าทีของอาเซียนต่อเกาหลีเหนือจะถูกมองว่าแข็งกร้าวขึ้น แต่ก็ไม่เท่ากับที่สหรัฐฯ คาดหวังเอาไว้ สังเกตุได้จากท่าทีของนาย เร็กส์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ยังคงเรียกร้องให้ชาติสมาชิกสหประชาชาติทุกประเทศปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรรอบล่าสุดอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม การประชุมที่กรุงมะนิลาก็มีสัญญาณบวกให้เห็นอยู่บ้างระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ โดยนับเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีต่างประเทศของสองเกาหลีได้จับมือกัน ขณะที่ในการประชุมร่วมกันความพยายามของเกาหลีใต้ที่จะดึงเกาหลีเหนือกลับสู่โต๊ะเจรจาเพื่อปลดชนวนความขัดแย้งก็ไม่ได้ล้มเหลวเสียทีเดียว
เพราะแม้ว่าเกาหลีเหนือจะปฏิเสธไม่ยอมจัดการเจรจาไกล่เกลี่ยกับเกาหลีใต้ เนื่องจากอ้างว่าเกาหลีใต้ไม่ได้จริงใจในการพูดคุยตามที่เสนอมา แต่ต่อมาทางสำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้ก็รายงานว่า ท่าทีของเกาหลีเหนือเป็นเพียงปฏิกิริยาต่อมาตรการคว่ำบาตรรอบล่าสุดของสหประชาชาติเท่านั้น
ขณะที่ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เองก็ยังย้ำว่า เกาหลีเหนือไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ของเกาหลีใต้ทั้งหมด และจีนเองก็สนับสนุนความพยายามของเกาหลีใต้ด้วย
หากวิเคราะห์ท่าทีของรัฐบาลเปียงยางเพิ่มเติมจากแถลงการณ์ตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรรอบล่าสุดของสหประชาชาติ การขู่ว่าจะล้างแค้น หรือว่าตอบโต้นั้นพุ่งเป้าไปที่สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว โดยไม่ได้เอ่ยถึงรัฐบาลของประธานาธิบดี มุน แจ อิน เลย นั่นหมายความว่าสำหรับเกาหลีเหนือแล้ว ประเทศที่ควรจะถอนตัวเพื่อลดความตึงเครียดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก คือสหรัฐอเมริกา และหากเป็นเช่นนั้นจริง ความขัดแย้งที่น่าเป็นห่วงนี้อาจจะยังมีโอกาสคลี่คลายผ่านกลไกทางทูตระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้กันเอง
