วันนี้ (14 ส.ค. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ซากชิ้นส่วนหนามส่วนหลังของปลาโรนิน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า กระเบนท้องน้ำ ถูกนำมาวางจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว ภายในร้านจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก บริเวณสุสานหอย 75 ล้านปี อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ โดยมีความเชื่อว่าหนามบนหลังของปลาโรนินใช้เป็นเครื่องรางของขลังในทางไสยศาสตร์ได้ โดยนิยมนำมาทำเป็นหัวแหวน หรือนำมาห้อยคอ ราคาทั่วไป ชิ้นเล็กๆขนาด 2 เซนติเมตร จะอยู่ที่ชิ้นละ 800 บาท แต่หากชิ้นใหญ่มีความสมบูรณ์มาก ในตลาดจะประมูลกันราคาสูงหลายแสนบาท นายวิทยา ขุนสัน หัวหน้าหน่วยอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จังหวัดกระบี่ เปิดเผยว่า ปลาโรนินเป็นสัตว์ทะเลหายาก ส่วนใหญ่ คนไม่นิยมนำเนื้อมารับประทาน แต่จะล่าเอาหนามส่วนหลังเท่านั้น ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง แม้จะพบเห็นชาวประมงจับขึ้นมาขาย หรือนำชิ้นส่วนมาขายก็ไม่สามารถเอาผิดได้
โดยปลาโรนิน หรือ กระเบนท้องน้ำ เป็นหนึ่งในสัตว์ทะเล 16 ชนิด ที่ถูกเสนอ ให้ขึ้นบัญชีเป็นสัตว์คุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2559 ให้ออกเป็นพระราชกำหนดแนบท้าย แต่ผ่านมากว่า 1 ปี ยังไม่ประกาศเป็นกฎหมาย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์ รองคณะบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุถึงสาเหตุที่ล่าช้า เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ยังอยู่ในขั้นตอนที่คณะกรรมการกฎษฎีกาเป็นผู้ดำเนินการ คาดว่าออกมาในช่วงเดียวกับที่กฎหมายอื่นออกมาเยอะ ทำให้กฎหมายที่ไม่ใช่กฎหมายใหม่ถูกลำดับความสำคัญไว้ทีหลัง การประกาศล่าช้าสร้างความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ เพราะทุกวันนี้ยังคงเห็นมีคนจับสัตว์เหล่านี้มาวางขาย โดยที่กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้
ล่าสุด พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ติดต่อมายังผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ว่า ได้เร่งติดตามเพื่อประกาศให้เป็นกฎหมายสมบูรณ์แล้ว และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างช่วยผลักดัน สัตว์น้ำอีกหลายชนิด อาทิ ม้าน้ำ โรนัน กระเบนปีศาจ ขึ้นบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองโดยตั้งเป้าว่าต้องการให้ประกาศเพิ่มเฉลี่ยปีละ 5 ชนิด เพื่ออนุรักษ์ไว้ไม่ให้สูญพันธุ์
สำหรับปลาโรนิน เป็นปลาทะเล กระดูกอ่อน คล้ายกระเบนผสมกับฉลาม ชื่อทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าเป็นปลาในวงศ์ Rhinidae ลักษณะเด่นคือครีบหลังมีหนามเรียงตัวกันเป็นแถวชัดเจน ขนาดโตเต็มที่มีความยาวได้ถึง 3 เมตร หนักได้ถึง 135 กิโลกรัม พบอาศัยอยู่ตามบริเวณพื้นทะเลที่เป็นดินทรายปนโคลน ในไทยพบได้ฝั่งอันดามัน ปัจจุบันอยู่ในสถานะถูกคุกคาม เสี่ยงสูญพันธุ์