เมื่อวันที่ (4 ต.ค. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท. ชาญเทพ เสสะเวส รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เผยความคืบหน้าคดีกลุ่มคนร้ายปล้นเงินจากนักธุรกิจค้าทองคำจำนวน 196 ล้านเยน หรือประมาณกว่า 60 ล้านบาท ในคอนโดมิเนียม ย่านถนนรัชดาภิเษกว่า ตำรวจได้รับแจ้งมีกลุ่มคนร้ายมาดักรอผู้เสียหายอยู่ที่ลานจอดรถชั้น 5 ของคอนโดมิเนียมดังกล่าว ก่อนจะทำร้ายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ เย็บไป 20 เข็ม และนำรถกระบะฟอร์ด สีส้มของผู้เสียหาย โดยจากการสอบสวนผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าของเงินให้การว่า ส่วนตัวไม่เคยมีปัญหาขัดแย้ง ทางธุรกิจกับใคร เพราะส่วนตัวทำธุรกิจนี้มาประมาณ 5 ปี และมีการขนเงินเข้ามาแบบนี้ โดยมีการขออนุญาตอย่างถูกต้อง
พล.ต.ท.ชาญเทพ กล่าวว่า ในเรื่องของการขนเงินดังกล่าวมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า จะนำเงินมาเก็บไว้ที่คอนโดมิเนียมที่เกิดเหตุ ก็เป็นคนในกลุ่มของผู้เสียหายเอง ซึ่งขณะนี้ตำรวจได้ทำการสอบปากคำผู้เสียหายทั้งหมด แล้ว ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และเชื่อว่าคดีนี้ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และให้น้ำหนักในเรื่องของการปล้นทรัพย์ เป็นประเด็นหลัก 4.26 สอบถามเจ้าของ-5.37 ส่วนต่าง
พร้อมกันนี้ รรท.ผบช.น. ได้ สั่งการทุกพื้นที่ในสถานีตำรวจนครบาลที่มีสถาบันการเงินอยู่ในพื้นที่ ให้ตรวจสอบเรื่องของการแลกเงินเยน เพื่อหาเบาะแสคนร้ายและประสานเรื่องการขนเงินข้ามชายแดนด้วย
ด้าน พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า ผู้บังคับบัญชาได้สั่งการและให้นโยบายมาแล้วเรื่องของการ ติดตามคนร้าย ซึ่งขณะนี้ ได้สั่งให้สกัดจับ รถยนต์กระบะฟอร์ดที่คนร้าย ปล้นไปจากผู้เสียหาย และอยู่ระหว่างการตรวจสอบภาพวงจรปิด ในที่เกิดเหตุรวมทั้งเส้นทางหลบหนีของคนร้ายด้วย
รายงานจากฝ่ายสืบสวนแจ้งว่า ขณะนี้ ตำรวจนำรายชื่อผู้เกี่ยวข้องที่เคยเป็นอดีตคน ขนเงินและผู้ที่ทราบเกี่ยวกับการขนเงิน รวม 12 คน นำประวัติมาตรวจสอบ หาความเกี่ยวข้องว่ามีส่วนพัวพันกับคดีหรือไม่ ขณะที่ ตำรวจชุดคลี่คลายคดี เชิญตัวนายตั้ม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของคอนโดฯ รัชดาพาวิลเลี่ยน ที่ปฏิบัติงานในช่วงเวลาเกิดเหตุมาสอบสวน
ด้านรายงานจากฝ่ายสืบสวนแจ้งเพิ่มเติมว่า ขณะนี้แนวทางการสอบสวน พบข้อพิรุธหลายประการ ซึ่งคาดว่าคนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะเป็นคนใน หรือบุคคลที่คุ้นเคยกับผู้เสียหาย เนื่องจากรู้ความเคลื่อนไหวของผู้เสียหายและวางแผนมาเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเตรียมอุปกรณ์มาพร้อม จากข้อมูลที่ได้ พบว่าคนร้ายเตรียมกระสอบป่านที่ใช้คลุมศีรษะมา 3 ใบ แต่ระหว่างเกิดเหตุมีลูกน้องผู้เสียหายอยู่ 2 คน จึงทำให้กระสอบป่านใช้งานไปเพียง 2 ใบเท่านั้น อีกทั้งยังทราบถึงจุดจอดรถว่าจะไปจอดชั้นไหน ใช้รถอะไร