ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แถลงการของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ เผยว่าเจ้าหน้าที่รัฐกำลังพิจารณาตัวเลือกทางเศรษฐกิจ เพื่อเป็นการลงโทษบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวมุสลิมโรฮิงญาในประเทศเมียนมาร์
ท่าทีดังกล่าว เกิดขึ้น 1 สัปดาห์หลังจากสส. สหรัฐฯ กว่า 40 คน จากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต รวมตัวกันเรียกร้องให้ นาย เร็กส์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ร่างบทลงโทษต่อผู้นำเมียนมาร์ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงในรัฐยะไข่
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 สหรัฐฯ เริ่มรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับชาติที่เคยเป็นพันธมิตรในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตามนโยบาย เอเชียไพวอทของอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ประเทศเมียนมาร์ในตอนนั้นกำลังพยายามหาเม็ดเงินมาลงทุนในประเทศนอกจากประเทศจีน สอดคล้องกับเป้าหมายที่สหรัฐฯ วางเอาไว้ ช่วงนั้นเราจะได้เห็นภาพเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เดินทางไปเมียนมาร์บ่อยมาก ถือว่าเป็นชาติอาเซียนที่เนื้อหอมที่สุด
ช่วงต้นปี 2016 หลังจากพรรค NLD ของนาง ออง ซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้ง สหรัฐฯ เริ่มยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร จนยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดในตุลาคม – โดยถือเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของ รัฐบาล โอบามา
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือเหตุการณ์ความรุนแรงรอบล่าสุดในรัฐยะไข่ ที่รัฐบาลของนางซูจีถูกกล่าวหา ว่ากระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมโรฮิงญา โดยรัฐบาลเมียนมาร์ปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทหารเมียนมาร์ได้พยายามเต็มที่ในการปกป้องทุกคน ไม่เลือกเชื้อชาติ พร้อมตั้งคณะกรรมการดูแลวิกฤติเรื่องนี้โดยตรง
จนถึงตอนนี้ตัวเลขผู้อพยพออกจากยะไข่เกือบถึง 1 ล้านคนแล้ว ขณะที่ในสายตาประชาคมโลก นางซูจี ก็ยังนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้ารัฐบาลของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ คว่ำบาตรเมียนมาร์จริงก็จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศครั้งสำคัญ จนอาจจะทำให้ความพยายามดึงเมียนมาร์กลับเข้าสู่ประชาคมโลกเป็นโมฆะไปเลยก็ได้