เมื่อวันที่ (14 พ.ย. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การให้สัมภาษณ์เรื่องส่วยจังหวัดภูเก็ตครั้งนี้ พลตำรวจเอกศรีวราห์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยระหว่างลงพื้นที่สอบสวนผู้ต้องหาคดีวางระเบิดภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์ หลังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 รายงานเพิ่มเติมว่า มีตำรวจภูเก็ต 68 นาย ในพื้นที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตมีทั้งหมด 11 สถานี ไม่ส่งตัวชาวต่างชาติ 1,730 คน ให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองผลักดันออกนอกประเทศ ซึ่งก่อนหน้ามีการรายงานเพียง 142 คน ขณะนี้มีคำสั่งให้นำชาวต่างชาติที่ปล่อยตัวไปมาดำเนินคดีให้ได้
นอกจากนี้ยังได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบผู้บังคับการและรองผู้บังคับการ ฐานปล่อยปละละเลยผู้ใต้บังคับบัญชาให้ฝ่าฝืนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนจะให้ปฎิบัติหน้าที่หรือขาดจากตำแหน่งเดิมหรือไม่ พลตำรวจเอกศรีวราห์ ระบุว่า เป็นอำนาจและดุลยพินิจของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8
ขณะที่ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตว่า ตำรวจที่ถูกสอบส่วนใหญ่ คือ คนที่ถูกสงสัยว่า เกี่ยวข้องในระดับสูงสุดแล้วหรือไม่ นี่เป็นการตั้งคำถามจากพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึง พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในลักษณะชี้เป้าว่า ว่าเหตุใดไม่ตั้งกรรมการสอบวินัย นายตำรวจระดับสูงสังกัดตำรวจท่องเที่ยว หลังมีข่าวว่าตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตไปพัวพันเรียกรับส่วยจากผู้ประกอบการสถานบันเทิง และชาวต่างด้าวผิดกฎหมาย
ปัญหาส่วยในจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดอื่นๆในประเทศไทย ตำรวจนายหนึ่งให้ข้อมูลว่า เป็นปัญหาสะสมมานานหลาย 10 ปี หาตัวคนผิดยาก เพราะส่วยไม่มีใบเสร็จรับเงิน ไม่มีโพย ไม่มีสถานที่ชัดเจนในการเรียกเก็บ เหมือนการจับบ่อน หรือ โต๊ะพนัน ยิ่งคนเก็บส่วยเป็นนายตำรวจระดับสูง จะให้ลูกน้องคนสนิท แต่งชุดนอกเครื่องแบบไปเก็บ หรือ จ้างคนทั่วไปเข้าไปเก็บตามร้าน ไม่มีใบเสร็จรับเงินเหมือนการซื้อสินค้า
พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ อดีต ผบ.ตร. แสดงความเห็นว่า ปัญหาส่วยจะต้องแก้ที่พฤติกรรมของข้าราชการ เพราะ เป็นต้นเหตุของปัญหา มองว่า การหาหลักฐาน หาตัวคนผิดเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ล่าสุด รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปตรวจสอบย้อนหลังทั้งประเทศว่า มีการปล่อยปละละเลยลักษณะนี้อีกหรือไม่ โดยกำหนดกรอบระยะเวลา 15 วัน ต้องรายงานผลทั้งหมดกลับมา
