เมื่อวันที่ (10 ม.ค. 61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความขัดแย้งของข้อมูลทั้ง 2 ฝ่าย เกิดขึ้นหลัง ศาสตราจารย์นายแพทย์ ประกิต วาทีสาทกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ โต้แย้ง ผลงานวิจัยจากประเทศอังกฤษ ที่เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้านำมาเผยแพร่ ว่าเป็นงานวิจัยที่คลาดเคลื่อนผิดพลาด และ 2 คน ในคณะวิจัย มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทยาสูบ จึงทำให้เชื่อได้ว่างานวิจัยฉบับนี้ มีผลเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มบริษัทบุหรี่ ที่กำลังเปลี่ยนสินค้าไปขายบุหรี่ไฟฟ้าแทนในอนาคต ส่งผลให้ เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าออกมา โต้แย้งนี้ข้อมูลที่ขัดแย้งกัน ทั้ง 2 ฝ่าย มีดังนี้ ฝ่ายมูลนิธิรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ เสนอข้อมูลว่าบุหรี่ไฟฟ้า มีอันตรายไม่แตกต่างจากการสูบบุหรี่ น้ำยาที่ใช้ มี สารแต่งกลิ่น สารให้ความหนืดของน้ำยา สารสร้างควัน และ มีนิโคติน
ฝ่ายเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า โต้แย้งว่า งานวิจัยที่มูลนิธิฯ นำมาอ้าง เป็นงานวิจัยเก่า และผลงานวิจัยไม่สอดคล้องกับการใช้งานจริง หากค้นคว้างานวิจัยล่าสุด พบว่า ผลงานการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ช่วยลดสร้างพิษที่จะทำอันตรายกับร่างกายลงถึงร้อยละ 95 เมื่อเปรียบเทียบกับการสูบบุหรี่
แม้ข้อมูลทั้ง 2 จะขัดแย้งกัน แต่หากมองถึงประโยชน์ของบุหรี่ไฟฟ้า มีส่วนเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ สามารถช่วยลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ลงได้ แต่ต้องลดจำนวนสาร นิโคตินในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมูลนิธิรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ มองว่าเรื่องนี้ทำได้ยาก
บุหรี่ไฟฟ้าถูกกำหนดให้เป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้า ตามกฎหมายศุลกากร ตั้งแต่ปี 2557 ส่งผลให้ที่ผ่านมา ผู้ที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ครอบครอง ไม่ว่าจะเป็น ผู้ขาย หรือ ผู้ใช้ จะถือว่าผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตามกลุ่มเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า มองว่าการออกกฎหมายควบคุมเช่นนี้ไม่เป็นธรรม เพราะผู้ที่จะใช้บุหรี่ไฟฟ้าสำหรับ ลดและเลิกบุหรี่ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงอยากให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนกฎหมายใหม่ ขอให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าควบคุม ขณะที่ฝ่ายมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ มองว่า หากปรับเปลี่ยนกฎหมายอาจทำให้ประชาชนทั่วไปหันมานิยมบุหรี่ไฟฟ้าแทน