สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประชุมหารือร่วมกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เพื่อออกมาตรการป้องกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เนื่องจากปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการหลอกลวงเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะการออกหมายจับปลอม ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบใหม่ที่นำมาใช้หลอกหลวงประชาชน
ด้าน นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ระบุถึงขั้นตอนที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหลอกลวงประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่จะโทรศัพท์มาจากต่างประเทศ แต่จะใช้เทคนิคในการแปลงเบอร์โทรให้เป็นเบอร์ในประเทศไทย โดยแอบแฝงใช้เบอร์ของหน่วยงานราชการต่างๆเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ขณะนี้ กสทช. ได้สั่งเฝ้าระวังหมายเลขโทรศัพท์กว่า 50 หมายเลขแล้ว พร้อมทั้งดำเนินการบล็อกเบอร์โทรเพื่อไม่ให้มิจฉาชีพปลอมแปลงได้
นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับค่ายโทรศัพท์ต่างๆจัดทำไลน์ออฟฟิศเชียล เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบเบอร์โทร กรณีสงสัยว่าจะถูกคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงหรือไม่
ขณะเดียวกันทาง ปปง. ได้นำเงินที่สามารถยับยั้งการถอนออกจากบัญชีของกลุ่มมิจฉาชีพ รอบที่ 2 รวมมูลค่า 1,641,000 บาท คืนให้กับผู้เสียหาย 11 คน ที่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวง หลังจากที่ก่อนหน้านี้สามารถอายัดเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์คืนให้กับผู้เสียหาย 21 คน มูลค่ารวมกว่า 5.5 ล้านบาท
ส่วนความคืบหน้ากรณี น.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ ผู้เสียหายที่ถูกดำเนินคดีหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์นำบัตรประชาชนสวมรอยไปเปิดบัญชีธนาคาร ซึ่งเรื่องนี้ทาง ปปง. และ ตำรวจ ยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นข้อผิดพลาดของธนาคาร ที่ไม่ได้มีการพิสูจน์ตัวบุคคลก่อนที่จะเปิดบัญชี และหากตรวจสอบพบว่าธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะต้องถูกปรับสูงสุดถึง 1 ล้านบาท เบื้องต้นได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบธนาคารทั้งเจ็ดแห่งที่เปิดบัญชีรับการโอนเงิน เพื่อหาข้อบกพร่องและดำเนินการลงโทษต่อไป