วันนี้(15 ก.พ.61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รองศาสตราจารย์ อังคีร์ ศรีภคากร อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่า กลุ่มควันที่ระบายออกจากท่อไอเสียรถ เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดมลภาวะในอากาศ โดยเฉพาะรถกระบะ รถบรรทุก และรถโดยสารสาธารณะที่ใช้ “เครื่องยนต์ดีเซล” และเป็นต้นกำเนิดหลักของ ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 ที่ชาวกรุงเทพมหานครกำลังเผชิญอยู่
ในรถยนต์รุ่นใหม่จะติดตั้งอุปกรณ์ฟอกไอเสียที่เรียกว่า “แคตตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (Catalytic convertor) ที่ช่วยกรองได้ส่วนหนึ่ง แต่ในรถที่ใช้งานเป็นเวลานานการทำงานของเครื่องยนต์เสื่อมสภาพ และในกลุ่มรถแต่งนิยมถอดชิ้นส่วนนี้ออกเพราะมีผลต่อการใช้ความเร็ว ทำให้ค่ามลพิษที่ปล่อยออกมาจะยิ่งสูงขึ้น
แม้รถทุกคันจะต้องเข้ารับการตรวจสอบควันดำที่ออกจากท่อในการต่อทะเบียน โดยเทคนิคตรวจสอบ “ความทึบแสง” โดยค่าแสงจะต้องส่องผ่านควันได้ไม่น้อยกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ ตามมาตรฐานความปลอดภัยในการปล่อยมลพิษ ยูโร 4
แต่นายอรรณพ หาญกิจ ผอ.สำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก ยอมรับว่า ไม่ได้ตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์แคตตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ และไม่ได้ตรวจสอบค่า PM 2.5
ปัจจุบันมีรถจดทะเบียนสะสมในกรุงเทพมหานคร 9 ล้าน 8 แสนคัน เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2 ล้าน 5 แสนคัน แบ่งเป็นรถเก๋ง, รถสองแถว,รถกระบะ,รถโดยสารสาธารณะ และรถตู้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พยายามผลักดันนโยบายยกระดับมาตรฐานการปล่อยมลพิษรถยนต์ดีเซลสู่มาตรฐานยูโร 5 แต่ในมุมนักวิชาการมองว่าควรใช้มาตรฐานยูโร 6 เช่นเดียวประเทศที่พัฒนาแล้ว และเสนอจัดโซนห้ามรถดีเซลวิ่งในพื้นที่ค่า PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน
เจริญศักดิ์ ศรีสุทธิพันธิพร ถ่ายภาพ
อรอุษา พรมอ๊อด รายงาน