วันนี้(18 ก.พ.61)ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศการชุมนุมการคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินภาคใต้ ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักอยู่ที่เกาะกลางถนนด้านหน้าองค์การสหประชาชาติ โดยมีการเปิดวงเสวนา มีทั้งนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงนักกฎหมายและผู้คัดค้านหลายคน เข้าร่วมเสนอข้อคิดเห็น
ข้อคิดเห็นต่างๆที่เกิดขึ้นในวงล้อมเสวนา บนเกาะกลางถนนก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีผู้ร่วมเสนอข้อคิดเห็นทั้งนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและนักกฎหมาย นักเคลื่อนไหวทางสิทธิมนุษยชนหลายคน
โดย นางสาวรสนา โตสิตระกูล นักรณรงค์ด้านสุขภาพและสิทธิผู้บริโภค ได้ตั้งคำถามที่น่าสนใจข้อหนึ่ง ถึงรัฐบาลว่าการลงนามลดโลกร้อนที่ให้ไว้กับองค์การสหประชาชาติ รัฐบาลแต่ละประเทศจะมีแผนและนโยบาย ตามข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวอยู่แล้ว โดยเฉพาะข้อที่ 7 ที่ระบุว่า พลังงานไฟฟ้าทุกรูปแบบจะต้องผลิตชึ้นจากพลังงานหมุนเวียน แต่ไทยกำลังทำผิดสัญญาข้อนี้ โดยไม่รู้ว่าถ้ามีการทำผิดสัญญาข้อนี้ที่ไทยลงนามไว้ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสจะมีภาระผูกพัน กับองค์การสหประชาชาติอย่างไร แต่ได้แนะนำให้รัฐบาลทบทวนระบบไฟฟ้าแบบครัวเรือน หรือแผงโซล่าเซลล์
ขณะที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้มุมมองว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินนี้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากกว่าการเผาไหม้จากก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเพราะเป็นเชื้อเพลิงที่เป็นของแข็ง ตอนนี้ประเทศไทยยังคงใช้พลังงานที่มาจากถ่านหิน 24 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่พลังงานการหมุนเวียนมีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าภาครัฐยังไม่บรรลุไปตามสัญญาลดภาวะโลกร้อน แล้วถ้าการดำเนินการส่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้ง 2 แห่ง ทางภาคใต้นี้เกิดขึ้น ก็ยังเพิ่มความชัดเจนในการละเมิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับสหประชาชาติ
เครือข่ายการต่อต้านคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินทางภาคใต้ มั่นใจ แล้วก็ให้คำยืนยันนะครับว่าจะยังคงปักหลักการชุมนุมต่อไปแม้ว่าทางรัฐบาล หรือ ทางตำรวจ สน.นางเลิ้งก็ได้ออกประกาศในการทำผิดเงื่อนไขใน พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ ออกมาแล้ว ซึ่งในวันพรุ่งนี้ทางตัวแทนเครือข่ายฯ จะเข้าเดินทางไปที่ศาลแพ่งเพื่อไต่สวนมูลฟ้องที่เกิดขึ้น โดย สน.นางเลิ้งได้แจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ในเรื่องการละเมิดข้อตกลงในการชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ