เมื่อวานนี้ กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ขับไล่นักการทูตรัสเซียรวมทั้งสิ้น 60 คน กลับประเทศ แบ่งเป็นนักการทูตที่ประจำอยู่ ณ สถานทูตรัสเซียในกรุงวอชิงตัน ดีซี 48 คน และอีก 12 คน ที่ประจำอยู่ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติในนครนิวยอร์ก พร้อมกันนี้ ยังได้สั่งปิดสถานกงสุลในนครซีแอตเทิล ตั้งแต่วันจันทร์หน้าเป็นต้นไป เพื่อตอบโต้กรณีการลอบวางยาพิษสังหาร นายเซอร์เก สกริปาล อดีตสายลับรัสเซียที่แปรพักตร์และลี้ภัยอยู่ในประเทศอังกฤษ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเรียกร้องให้รัสเซียรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง และแสดงให้เห็นว่ารัสเซียยังคงยึดมั่นต่อพันธกิจสากลและความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ที่จะสนับสนุนสันติภาพและความมั่นคง
โดยในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน นายโดนัลด์ ทัสก์ ประธานคณมนตรียุโรป ก็ได้ประกาศว่า ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป 16 ประเทศ ตัดสินใจที่จะดำเนินมาตรการลงโทษเพิ่มเติมด้วยการขับนักการทูตรัสเซียออกนอกประเทศ รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 33 คน เพื่อแสดงการสนับสนุนและเป็นหนึ่งเดียวกับประเทศอังกฤษ ที่ประกาศไล่นักการทูตรัสเซีย 23 คนออกนอกประเทศไปก่อนหน้านี้ นอกจากสหรัฐฯ และชาติสมาชิกอียูแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ได้แก่ ยูเครน แคนาดา และแอลเบเนีย ออสเตรเลีย นอร์เวย์ และมาซิโดเนีย ก็ออกมาประกาศให้ทูตรัสเซียกลับประเทศเช่นกัน นับเป็นการร่วมกันขับไล่นักการทูตรัสเซียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีจำนวนรวมกันถึง 116 คน หากนับรวมที่อังกฤษไล่นักการทูตรัสเซียไปก่อนหน้านี้ ก็จะรวมเป็น 139 คน
ด้านกระทรวงต่างประเทศรัสเซียระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรและยั่วยุ พร้อมกล่าวหาประเทศที่ร่วมขับไล่นักการทูตรัสเซียว่า “เป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลอังกฤษ” ขณะที่ นายดิมิทรี เปสคอฟ โฆษกประจำทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า รัฐบาลรัสเซียรู้สึกผิดหวังกับการตัดสินใจของรัฐบาลชาติตะวันตก โดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน จะเป็นผู้ตัดสินใจว่ารัสเซียจะตอบโต้ความเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างไร