ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน หรือ ศปถ. เปิดเผยสถิติอุบัติเหตุ ของวันที่ 16 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของการรณรงค์ พบว่า เกิดอุบัติเหตุ 425 ครั้ง เสียชีวิต 49 ราย บาดเจ็บ 464 ราย
โดยยอดสะสมทั้งหมด 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 11 -16 เมษายน เกิดอุบัติเหตุสะสม 3,418 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 378 คน และบาดเจ็บ 3,575 คนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 พบว่า สูงขึ้น!!
ข้อมูลสถิติย้อนหลัง ในช่วงวันที่ 6 ของ 7 วันอันตรายช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 เกิดอุบัติเหตุรวม 3,388 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 335 คน ผู้บาดเจ็บรวม 3,506 คน, ปี 2559 เกิดอุบัติเหตุรวม 3,104 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 397 คน ผู้บาดเจ็บรวม 3,271 คน, ปี 2558 เกิดอุบัติเหตุรวม 2,915 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 306 คน ผู้บาดเจ็บรวม 3,070 คน, ปี 2557 เกิดอุบัติเหตุรวม 2,754 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 277 คน ผู้บาดเจ็บรวม 2,926 คน
พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า อุบัติเหตุช่วงวันสงกรานต์ปีนี้มีตัวเลขสูง แม้จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้หากประชาชนไม่มีจิตสำนึก พร้อมขอสื่อช่วยรณรงค์ลดอุบัติเหตุ
ด้านนายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ระบุว่า แม้จะยังไม่ครบกำหนดในช่วง 7 วันอันตราย ในเทศกาลสงกรานต์ 2561 แต่ยอดการเกิดอุบัติเหตุ กลับเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งสาเหตุหลักยังคงเป็นการเมาแล้วขับ
ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จะมีการรณรงค์เรื่องการป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องการเมาไม่ขับ การสวมหมวกกันนิรภัย และการใช้ความเร็วที่ไม่เกินจากที่กฎหมายกำหนด แต่ยังคงมียอดการเกิดอุบัติเหตุ ยอดผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตในช่วงเทศกาลที่เพิ่มสูงขึ้น มองว่าเกิดจากการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่เปลี่ยนแนวทางการต่อสู้กับการเกิดอุบัติบนท้องถนนอย่างต่อเนื่อง จะมีความชัดเจนเพียงช่วงเทศกาลสำคัญปีละ 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งเป็นช่องโหว่สำคัญ การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ก็เหมือนกันเริ่มต้นใหม่ในปัญหาที่เรื้อรังมากขึ้นทุกปี การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเป็นเรื่องสำคัญมากที่ควรจะปฏิบัติให้เป็นเรื่องปกติ จนเกิดความเคยชินและไม่ฝ่าฝืนกระทำความผิด ซึ่งกฎหมายเกี่ยวกับการจราจรในประเทศอื่นๆในแถบเอเชียที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องอุบัติเหตุได้จริง อย่าง ประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็ไม่ได้มีกฎหมายที่แตกต่างไปจากประเทศไทย แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือการบังคับใช้มากกว่า
ทางมูลนิธิเมาไม่ขับเคยได้เสนอวิธีการแก้ปัญหาไปทางรัฐบาล แต่พบว่าปัญหาเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนยังคงถูกมองว่าเป็นปัญหารอง จากปัญหาความยากจน ปัญหาราคาข้าวและราคายางตกต่ำ การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จึงยังไม่เป็นไปอย่างจริงจัง
ขณะที่อีกมุมหนึ่ง เรื่องจิตสำนึกก็เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ขับขี่ควรที่จะตระหนักเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่บนท้องถนนและเคารพกฎหมายให้มากขึ้น เพราะการสูญเสียไม่เพียงแต่จะเกิดขึ้นกับตนเอง และคนในครอบครัว แต่อาจจะส่งผลให้ผู้อื่นได้รับอันตรายไปด้วย
