เมื่อวันที่ (30 เม.ย.61) พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. ยืนยันว่า การทุจริตเงินคนยากไร้ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งเกือบทั่วประเทศที่ตรวจสอบพบ เกิดจากคน ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัญหาของระบบ หากมองว่าข้าราชการตั้งศูนย์หรือออกแบบระบบมาเพื่อโกงเงินงบประมาณ ก็จำเป็นต้องยุบศูนย์ทุกแห่ง ซึ่งอาจจะเป็นแนวทางที่ทำให้คนด้อยโอกาสจำนวนมากเดือดร้อน ส่วนการสอบข้อเท็จจริงภายใน จะสามารถสรุปผลได้ภายใน1ถึง2วันนี้ เบื้องต้นยืนยันว่าไม่ได้เกิดการทุจริตทั้ง 76 ศูนย์ทั่วประเทศ
ส่วนผลสอบนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พลเอกอนันตพร ยังไม่ขอเปิดเผยว่า เข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในขั้นตอนใดบ้างหรือไม่ ขอให้คณะกรรมการเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้เอง
ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. วันนี้ได้ประชุมสรุปผลการทำงานเรื่องนี้ตลอด2เดือนครึ่งที่ผ่านมาว่า ตรวจสอบศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งครบทั่วประเทศแล้ว พบว่ามี 67 จังหวัด เบิกเงินช่วยเหลือคนจนผิดปกติ หรือส่อไปในทางทุจริต ด้วยวิธีการที่ศูนย์คนไร้ที่พึ่งแต่ละแห่ง ส่งเจ้าหน้าที่ไปเบิกงบที่สำนักงานการคลังจังหวัด ซึ่งถูกส่งมาจากกรมพัฒนาสังคมฯ แล้วค่อยมากำหนดจำนวนคนรับเงินทีหลัง
โดยขั้นตอน เริ่มจากปลายปี 2559 กำหนดหาหมู่บ้านเพื่อจะเข้าไปเอารายชื่อชาวบ้านมาสวมสิทธิ์ จากนั้นต้นปี 2560 ส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานงานกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพส่วนตำบล หรือ รพ.สต. ว่าจะมีการอบรมให้ความรู้เรื่องคนเร่รอน และในขั้นตอนนี้ก็มีการขอความร่วมมือให้ทาง รพ.สต.ประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านมาร่วมอบรม ให้ รพ.สต.เก็บรวบรวมลายเซ็นและสำเนาบัตรประชาชนชาวบ้าน ส่งไปยังศูนย์คุ้มครองฯ และขั้นสุดท้ายก็นำเอกสารที่ได้ ไปปลอมแปลงว่า กลุ่มชาวบ้านที่เข้าอบรมนั้น เป็นคนไร้ที่พึ่ง โดยรูปแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกันทุกศูนย์ และพบว่ามีข้าราชการระดับผู้บริหารในกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทุจริตทุกจังหวัด จึงเห็นชัดเจน ว่า เป็นการเจตนาโอนงบลงไปที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งเพื่อทำการอย่างอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับช่วยเหลือคนจน
ส่วนพื้นที่ที่ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าทุจริตเงินศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่พบการทุจริต เพราะยังอาจจะเป็นเพียงแค่การตรวจสอบไม่พบหลักฐาน มีด้วยกัน 9 จังหวัด คือ นนทบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สิงห์บุรี แพร่ นครสวรรค์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ และนครศรีธรรมราช โดย ใน 67 จังหวัดที่ส่อทุจริต คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 129 ล้านบาท มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง 189 ราย