ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แถลงข่าวการตัดสินใจนำสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงจำกัดโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่มีประเทศมหาอำนาจร่วมลงนามในปี 2015 ทั้ง ฝรั่งเศส เยอรมนี สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร จีน รัสเซีย และ อิหร่าน โดยมีเงื่อนไขว่า สหรัฐฯ สหประชาชาติ และ สหภาพยุโรปจะยกเลิกมาตราการลงโทษที่มีต่ออิหร่าน
โดยทรัมป์ ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวที่สหรัฐฯร่วมลงนามในสมัยประธานาธิบดี บารัค โอบามาไร้ประสิทธิภาพในการควบคุมไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่เอกสารจากหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลแสดงให้เห็นว่าอิหร่านยังคงดำเนินโครงการพัฒนาธาวุธนิวเคลียร์แบบลับๆต่อไป
นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังลงนามในบันทึกเรื่องการนำมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกลับมาใช้กับอิหร่านอีกครั้งหลังจากยุติไปตั้งแต่บรรลุข้อตกลงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่ามาตรการคว่ำบาตรจะยังไม่มีผลทันที โดยกระบวนการดังกล่าวจะมีกรอบเวลาใน 2 ช่วงคือภายใน 90 วันและ180วัน
หลังจากรับทราบข่าวการตัดสินใจของทรัมป์ ประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี ผู้นำอิหร่านได้สั่งการให้องค์กรพลังงานปรมณูแห่งชาติเตรียมความพร้อมในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปฏิกรณ์และอาวุธนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี รูฮานี ยืนยันว่าจะรอพูดคุยกับประเทศที่ร่วมลงนามอื่นๆก่อน ซึ่งถ้าหากทุกประเทศที่เหลือทำตามเป้าหมายของตกลงดังกล่าวต่อไป อิหร่านก็จะไม่ถอนตัว
สำหรับราคาสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าตลาดเวสต์เท็กซัสงวดเดือน มิ.ย ในวันนี้ปรับตัวลดลงเกือบ 1 เปอร์เซนต์ แม้กระแสข่าวเกี่ยวกับการถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันยืนอยู่เหนือระดับ 70 ดอลลาร์ ต่อ บาร์เรลในสัปดาห์นี้
โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าการตัดสินใจของทรัมป์ไม่น่าส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นมากนัก ยกเว้นว่า ทรัมป์ จะโน้มน้าวให้ชาติอื่นๆ ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษกิจเหมือนสหรัฐฯ โดยเฉพาะสหภาพยุโรปที่ต้องพึ่งพิงน้ำมันที่นำเข้าจากอิหร่านเป็นหลัก
AFP