วันนี้ (12 พ.ค.61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปฏิรูปประเทศด้านการเมือง เป็นหนึ่งในเรื่องหลัก ที่ถูกยกมาอภิปราย ในเวทีเสวนา ที่ใช้ชื่อว่า “4 ปีรัฐประหาร กับ การปฏิรูปประเทศไทย” ที่มี นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. และ นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วงเสวนานี้เห็นตรงกันว่า การปฏิรูปการเมืองเริ่มหยุดชะงัก เมื่อใกล้การเลือกตั้ง
โดยนายพิชาย ยกตัวอย่างการลงพื้นที่ ประชุม ครม.สัญจร ที่มีการพบพูดคุยกับกลุ่มการเมือง และพิจารณาอนุมัติงบประมาณลงกลุ่มจังหวัดในจำนวนมาก เป็นพิธีกรรมของการทำการเมืองแบบเก่า ในการสร้างภาพลักษณ์ และสร้างวาทกรรม เพื่อใช้ในการหาเสียง เลียนแบบรัฐบาลของ นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งนี้นายพิชาย ตั้งข้อสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ อาจมีความตั้งใจลงสนามการเมือง เพื่อกลับมาเป็น นายกรัฐมนตรี อีกครั้งหลังเลือกตั้ง
ขณะที่ส่วนความพยายามทาบทามกลุ่มการเมือง มาร่วมทำงาน หรือ ที่นักการเมืองให้คำนิยามว่า “การดูด ส.ส.” ไปสนับสนุน พรรคการเมืองที่จะตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี นายอลงกรณ์ มองว่าการรวมกลุ่มการเมือง เพื่อนับเก้าอี้จัดตั้งรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำการปฏิรูป หากจะเล่นการเมืองจริง ควรสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้น
นอกจากนี้ในเวทีเสวนา ยังยกตัวอย่าง การตั้งพรรคการเมือง เพื่อดึงตัว ส.ส. สืบทอดอำนาจในอดีต อย่าง พรรคเสรี มนังคศิลา ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หรือ พรรคสามัคคีธรรม สมัย รสช. ว่า พรรคการเมืองเหล่านี้ เป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจ แม้จะเติบโต เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีความยั่งยืน ซึ่งทั้ง นายอลงกรณ์ และ นายพิชาย เห็นตรงกันเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น