เมื่อวันที่ (23 พ.ค. 61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพมุมสูง ของโรงงาน 15 แห่งในจุดเดียว ที่ได้ใบอนุญาตจดทะเบียนเป็นโรงงานคัดแยกขยะ และโรงงานรีไซเคิล ทำให้เห็นมีกองวัสดุทางอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดกองอยู่ ทั้งแผงวงจร ไดนาโม และมีอีกหลายชนิดใส่อยู่ในถุงบิ๊กแบ็ก และกองที่มีผ้าใบสีฟ้าคลุมไว้ บางส่วนถูกหลอมและนำใส่แป้นพิมพ์แล้ว และยังมีโครงหลังคา ที่ใช้สำหรับกันฝน ให้กับขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากที่วางกองอยู่รอบโรงงานและล้นออกมาภายนอก
โรงงานนี้เป็นของ บริษัท นิวส์สกาย เมทัล จำกัด ขอจดทะเบียนเป็นโรงงานประเภท 105 คือ โรงงานคัดแยกขยะ 7 ใบอนุญาต และมีใบอนุญาตเป็นโรงงานประเภท 106 หรือโรงงานรีไซเคิล 8 ใบอนุญาต แต่ที่น่าสนใจคือ ใบอนุญาตทั้ง 15 ใบ ที่ออกโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ออกในบ้านเลขที่ 111/2 ถึง 111/8 และที่ดินอีก 1 แปลง ซึ่งทั้งหมดอยู่ในรั้วเดียวกัน ในหมู่ที่ 9 ต.เกาะขนุน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบขยายผลจากการตรวจโรงงานในลักษณะเดียวกัน ของ บริษัท ดับบลิว เอ็ม ดี ไทย รีไซคลิ้ง ที่ อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวานนี้ โดยพบโรงงาน 15 แห่งที่ อ.พนมสารคาม ซึ่งตรวจสอบวันนี้ เดินเครื่องมืออุตสาหกรรมโดยยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการ และยังนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นวัตถุอันตราย เป็นความผิดตาม พ.ร.บวัตถุอันตรายขัดอนุสัญญาบาเซิล มีกรรมการบริษัทเป็นชาวจีน ร่วมกับชาวไทย โดยยืนยันว่า จะต้องสอบสวนขยายผลไปถึงการออกใบอนุญาต ซึ่งตามขั้นตอน การขอตั้งโรงงาน ต้องผ่านความเห็นชอบของอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม
มีข้อสังเกตที่สำคัญจากแหล่งข่าวในกระทรวงอุตสาหกรรมว่า เหตุใดกรมโรงงานอุตสาหกรรม จึงออกใบอนุญาตถึง 15 ใบ ให้กับโรงงานที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทั้งที่ต้องจ่ายค่าใบอนุญาตเพิ่มใบละ 60,000 บาท โดยหากดูข้อกฎหมายจะพบว่า ใบอนุญาตโรงงานคัดแยกขยะหรือรีไซเคิลแต่ละใบ จะจำกัดปริมาณการนำเข้าของเสียประมาณ 1 00,000 ตันต่อปี หมายความว่า การมีใบอนุญาตเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถนำเข้าของเสียเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนใบอนุญาต
นายสิริพงศ์ พัฒนทวีกิจ ที่ปรึกษาบริษัท นิวส์สกาย เมทัล อ้างว่า โรงงานแห่งนี้มีระบบจัดการที่ดี มีเครื่องจักรที่ทันสมัยได้มาตรฐาน และไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ส่วนสาเหตุที่ต้องขออนุญาตเปิดถึง 15 โรงงาน เพราะต้องกำจัดทั้งของเสียอันตรายและของเสียไม่อันตรายทำให้ต้องสร้างควบคู่กัน และก่อนเปิดโรงงานสอบถามความเห็นชาวบ้านในพื้นที่แล้ว ส่วนชิ้นส่วนที่เหลือจากการเผาจะนำไปฝังกลบ
ส่วนที่ยังเป็นนข้อสงสัย คือ ที่มาของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งชัดเจนว่าถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ ผ่านกระบวนการทางศุลกากร ทำให้กรมศุลกากรขอกลับไปตรวจสอบเส้นทางการนำเข้าอีกครั้ง
แม้จะยังบอกไม่ได้ว่า วัสดุทางอิเล็กทรอนิกส์ ของโรงงานแห่งนี้ มีที่มาถูกต้องหรือไม่ แต่มีข้อมูลสำคัญ คือ มีขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากจากประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก ซึ่งเป็นขยะที่มีราคาในการกำจัดสูงถึงตันละ 10,000-30,000 บาท จึงถูกนำมารวบรวมไว้ที่ท่าเรือฮ่องกง ก่อนส่งไปทำลายหรือทิ้งในประเทศจีน แต่ในปี 2560 ประเทศจีน ประกาศยกเลิกการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เจ้าของกิจการชาวจีนบางส่วน มาหาพื้นที่ ร่วมกับชาวไทย ขอใบอนุญาตเปิดโรงงานประเภทคัดแยกขยะและโรงงานรีไซเคิล เพื่อนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์มาที่ประเทศไทย
แม้ผู้ประกอบการจะอ้างว่า ขออนุญาตถูกต้อง แต่ก็ยังมีคำถามหลายประเด็น โดยเฉพาะ การจัดการกับชิ้นส่วนที่เหลือจากการคัดแยกและรีไซเคิล ซึ่งยังคงเป็นวัตถุอันตราย และหากทำตามกระบวนการจริงก็ต้องส่งไปทำลายด้วยการเผาในโรงงานประเภท 101 เท่านั้น จึงจะสามารถกำจัดขยะอันตรายตามกฎหมายได้
นอกจากนี้ยังขยายผลไปยังโรงงานหลอมขยะอิเล็กทรอนิกส์ ในตำบลเขาหินซ้อน ซึ่งพบเตาหลอมขนาดใหญ่ เป็นของบริษัท ทรัพย์เจริญ รีไซเคิล จำกัด พบโรงงานได้รับอนุญาตจากกรมโรงงาน และท้องถิ่นในการตั้งโรงงาน เมื่อปี 2556 แต่เมื่อมาตรวจสอบเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอ้างว่า ในอดีตที่นี่ถูกกฎหมายจึงให้ดำเนินการ แต่เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งทราบว่าโรงงานลักลอบต่อเติมอาคาร
จากการสังเกตุของเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าที่นี่ไม่ถูกต้องเพราะไม่สามารถกรองอากาศที่มีสารพิษจากการหลอมขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ จึงจะสั่งปิดทันที และห่างกันไปไม่ถึง 2 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่พบโรงงานของบริษัท ซันเหลียนไทย จำกัด ประกอบกิจการนำวัสดุใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ แต่กลับมีกองขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากอยู่ภายใน โดยหลังจากนี้จะดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนสถิติการขอก่อตั้งโรงงานรีไซเคิลขยะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มขอก่อตั้งโรงงานเพิ่มขึ้น และอัตราการผลิตสูงขึ้นหลายเท่าตัว จากปี 2559 มีกำลังการผลิตเพียงหลักหมื่นตัน แต่พอมาปี 2560 กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2 แสนตันต่อปี และมีข้อมูลด้วยว่า มีโรงงานในลักษณะนี้ เตรียมขอใบอนุญาตเพิ่มอีก 40 แห่ง ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา