เริ่มต้นด้วยภาพการจับมือกันครั้งประวัติศาสตร์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ และ คิม จอง-อึน ซึ่งหลายๆคน มีการนำไปเปรียบเทียบกับการจับมือกันของ คิม จอง-อึน กับประธานาธิบดี มุน แจ-อิน ของเกาหลีใต้ ในการประชุมสุดยอดผู้นำสองเกาหลี เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
จะเห็นได้ชัดว่า การจับมือของสองผู้นำเกาหลี จะมีโมเมนต์ที่เรียกอารมณ์และความประทับใจมากกว่า เพราะมีทั้งการจับมือ และการจูงมือกันข้ามเส้นแบ่งแดนของสองประเทศ ในขณะที่การจับมือระหว่างคิมและทรัมป์ จะมีความเป็นทางการมากกว่า แต่หลายคนสังเกตว่า ทรัมป์ยิ้มอย่างอบอุ่นในช่วงที่จับมือกับคิม และในระหว่างการพูดคุยกันแบบตัวต่อตัว ทั้งคู่ก็ได้ออกมายืนคุยกันที่ระเบียง พร้อมโบกมือทักทายให้กองทัพสื่อมวลด้วย
นอกจากบรรยากาศชื่นมื่นแล้ว ยังมีคำพูดเด็ดจากปากของผู้นำเกาหลีเหนือ ที่ช่วยบรรยากาศของการประชุมให้ดียิ่งขึ้น
“มันไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ความบาดหมางในอดีต ธรรมเนียมปฏิบัติเดิมๆ และอคติ ล้วนปิดหูปิดตาเราไว้ แต่ตอนนี้เราเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างเพื่อมาอยู่ที่นี่ในวันนี้แล้ว”
ฝั่งทรัมป์เอง แสดงความเชื่อมั่นว่า การเจรจาจะต้องเป็นไปด้วยดีและประสบผลสำเร็จ
อีกหนึ่งประเด็นที่มีคนพูดถึง คือ เรื่องภาษาอังกฤษของผู้นำเกาหลีเหนือ เนื่องจากในช่วงแรกของการเจอกัน คิมได้กล่าวทักทายว่า "Nice to meet you, Mr President." ซึ่งแม้จะไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด แต่คาดกันว่านายคิมสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว โดยเชื่อกันว่า ในวัยเด็ก คิมเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนในสวิตเซอร์แลนด์ และเห็นได้จากเมื่อครั้งที่ เดนนิส ร็อดแมน อดีตนักบาส NBA ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเขา เดินทางเยือนเกาหลีเหนือในปี 2013 สื่อรายงานว่า ทั้งคู่พูดคุยกันโดยตรง โดยไม่ใช้ล่าม
หลังการหารือแบบตัวต่อตัว ซึ่งกินเวลา 38 นาที เสร็จสิ้นลง คณะเจรจาของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมการเจรจาด้วย โดยประเด็นสำคัญในการเจรจาวันนี้ คือ การปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลี แต่จะไม่มีการหยิบยกประเด็นปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนขึ้นมาหารือกัน
“ยูเอ็น”พร้อมตรวจสอบอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ
ขณะเดียวกัน นาย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า พร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ หากได้รับการร้องขอจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หลังจากการประชุมครั้งประวัติศาตร์ระหว่างผู้นำสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ
โดยนาย กูเตอร์เรส แสดงความหวังว่า ผู้นำทั้งสองประเทศจะร่วมกันก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้คำพูดโจมตีกันไปมา ซึ่งเลขาธิการสหประชาชาติยังหวังว่า การประชุมที่สิงคโปร์จะช่วยสร้างสันติภาพให้แก่โลก พร้อมย้ำว่าปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือควรได้รับการแก้ไขด้วยกระบวนการทางการทูต
ชาวเกาหลีใต้หวังประชุม “ทรัมป์-คิม” ปูทางรวมชาติ
ส่วนบรรยากาศที่ประเทศเกาหลีใต้ มีคนให้ความสนใจติดตามการพบกันครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างผู้นำสหรัฐฯและผู้นำเกาหลีเหนือ ผ่านการถ่ายทอดสดบนทีวีจอยักษ์ที่สถานีรถไฟในกรุงโซล ซึ่งผู้ที่รับชมต่างแสดงความหวังว่าการพบกันของผู้นำทั้งสองจะนำไปสู่การยุติการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเพื่อสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี และทำให้การรวมชาติระหว่างสองเกาหลีมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ประชาชนเกาหลียังหวังว่า หากการประชุมที่สิงคโปร์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ทรัมป์และ คิมจองอึน ก็อาจจัดการประชุมครั้งต่อไปที่เขตปลอดทหารบริเวณพรมแดนทั้งสองประเทศ
เช่นเดียวกับ ประธานาธิบดี มุน แจ-อิน ผู้นำเกาหลีใต้ ที่ยอมรับว่าแทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืน แต่ก็เกาะติดรับชมการถ่ายทอดสดดังกล่าวเช่นกัน พร้อมแสดงความหวังว่าการประชุมระหว่างทรัมป์และคิม จะนำไปสู่ยุคใหม่ที่ปลอดนิวเคลียร์อย่างสิ้นเชิงและความสัมพันธ์ในทิศทางใหม่ระหว่าง เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ และ สหรัฐฯ
"เดนนิส ร็อดแมน" หลั่งน้ำตา ซึ้งประชุม “ทรัมป์-คิม”
อีกหนึ่งตัวละคร ที่หลายฝ่ายคาดว่าอาจจะมีบทบาทสำคัญในการประชุมครั้งนี้ คือ “เดนนิส ร็อดแมน” อดีตนักบาสเก็ตบอลชื่อดัง เพื่อนรักของนายคิม ที่เดินทางถึงสิงคโปร์เมื่อคืนที่ผ่านมา ล่าสุด เจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN และถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อพูดถึงการประชุมครั้งนี้
ร็อดแมนระบุว่า ตัวเขาเคยถูกอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ เพื่อส่งข้อความที่ คิม จอง-อึน ฝากมาให้
นอกจากนี้ เขายังเล่าว่า เลขาของทรัมป์โทรมาหาเขา บอกว่า ทรัมป์รู้สึกภูมิใจและขอบคุณเขามากๆ ซึ่งเขาก็หวังว่า การพบกันระหว่างทรัมป์ และคิม จะนำไปสู่การเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ๆ