รศ.นภดล ชาติประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ และที่ปรึกษาศูนย์เกาหลีศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ เปิดเผยในรายการเป็นเรื่องเป็นข่าวว่า ที่ผ่านมาเกาหลีเหนือก็พยายามที่จะคุยกับผู้นำสหรัฐฯมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุคของ “คิม อิล-ซุง” แล้ว เพราะมองว่าสหรัฐฯเป็นศัตรูหมายเลข 1 เป็นภัยต่อความมั่นคง และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือสร้างขึ้นเพื่อเป็นอำนาจใน “การป้องปราม” เพราะเกาหลีเหนือกลัวจะถูกคุกคามโดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ยิ่งหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้วเพื่อนของเกาหลีเหนือย่าง “จีน”หรือ “รัสเซีย” ก็ไม่หนุนหลังเหมือนแต่ก่อน แล้วสถานการณ์ในลิเบีย อิรัก ซีเรีย นั้น เกาหลีเหนือก็กลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งการพัฒนาอาวุธเหล่านี้หลักๆ มาจาก “ความกลัว” ที่เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ลึกๆแล้วความมั่นคงจริงๆต้องมาจากสหรัฐฯ ที่เป็นคนยอมรับและเป็นคนค้ำประกัน เพราะที่มีอยู่เป็นแค่อำนาจป้องปราม ซึ่งขีปนาวุธของเกาหลีเหนืออยู่ในระยะเริ่มต้น เป็นเทคโนโลยีตั้งแต่ที่สหรัฐฯ หรือสหภาพโซเวียตเมื่อ 60 ปีก่อน ขีดความสามารถนี้สหรัฐฯก็รู้ดี หากไม่สามารถโจมตีสหรัฐฯ ก็สามารถโจมตีพันธมิตรของสหรัฐฯได้
“ที่สุดแล้วการมีอาวุธก็ไม่มั่นคงเท่ากับการได้พุดคุยกับสหรัฐฯ นั่นจะเป็นความมั่นคงที่ถาวรมากกว่า สหรัฐฯก็เข้าใจข้อนี้ แต่ที่ผ่านมาผู้นำสหรัฐฯ ไม่ยอมคุยด้วยเว้นแต่จะทลายอาวุธนิวเคลียร์ก่อนจะมีการพูดคุย ก็มีเงื่อนไขนี้มาตลอด หรือมีแต่การประชุมหลายๆฝ่าย แต่ทรัมป์ทลายกำแพงนี้ลงด้วยการคุยกันก่อนก็ได้ ก็เลยเกิดการพบเจอขึ้น วันนี้เป็นวันที่เกาหลีเหนือรอมานาน เพราะเกาหลีเหนือไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่ได้กับได้ มีแต่ได้มากหรือได้น้อย สถานการณ์ที่ผ่านมาก็ยากลำบากแม้จะมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ถูกคว่ำบาตรทุกด้าน สถานการณ์ยากลำบาก ก็ไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ การจะออกจากมุมอับได้ก็มีทางนี้เมื่อสหรัฐฯมาเปิดประตูให้พอดี เกาหลีเหนือจึงไม่ยอมให้พลาดโอกาสเหล่านี้ ส่วนสหรัฐฯจะได้จะเสียต้องมองกันอีกหลายมุมเพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ”
ที่ปรึกษาศูนย์เกาหลีศึกษา วิเคราะห์ต่อว่า สำหรับเกาหลีเหนือการได้คุยถือเป็นการเริ่มต้นที่ได้ประโยชน์ แต่จากที่แถลงออกมาจะเห็นได้ว่าเกาหลีเหนือค่อนข้างประสบความสำเร็จ เพราะเกาหลีเหนือยอมรับว่าจะยกเลิกโรงงานผลิตนิวเคลียร์ก็จริงแต่ก็เป็นคำที่หลวมๆ ไม่มีรายละเอียดชัดเจน ส่วนสหรัฐฯ ทรัมป์เป็นนักการตลาด เขามองว่าจุดนี้จะเป็นจุดที่ทำคะแนนได้ดี เพราะเป็นจุดที่คนทั้งโลกสนใจ มีความตรึงเครียดสูง หากเขาเข้ามาสานต่อให้มันดีขึ้นได้ก็จะได้รับความนิยม จนบางคนคิดถึงสันติภาพ คิดว่าการพูดของเขาในวันนี้คงมีการเตรียมมาเป็นอย่างดี เพราะปกติเขาจะพูดไม่ค่อยเข้าหูใครเท่าใดนัก แต่คราวนี้ถ้าผลออกมาดี แล้วจะพูดอย่างไร
“แม้จะมีคำพูดที่สวยหรูออกมายาวเหยียดแต่ยังมีขั้นตอนอีกเยอะ และทุกขั้นตอนมีขวากหนามมีอุปสรรค รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการทำลาย จะมีซุกซ่อนไว้ไหม การยกเลิกการคว่ำบาตร จะยกเลิกแค่ไหน ส่วนการบอกให้ถอนทหารสหรัฐฯ คงเป็นขั้นต่อไป หลังจากการรื้อถอนนิวเคลียร์ ซึ่งทุกขั้นก็พร้อมที่จะสะดุดได้ ”
หลังจากนี้ “รศ.นภดล” มองว่า บทบาทในประเทศคงไม่เปลี่ยน แต่ในระดับนานาชาติจะมีการเดินทางไปพบผู้นำชาติอื่นๆ เช่นจีน รัสเซีย หรือการพูดคุยพบปะกันกับทรัมป์อีก ไม่ว่าจะเป็นที่สหรัฐฯ หรือเปียงยาง ก็ต้องติดตามกันต่อ แต่ทางคิมจอง-อึน คงไม่ได้เดินทางไปไหนบ่อย ไม่ชอบเดินทางไปไหน ไปครั้งแรกคือไปจีน หรือเดินทางไปในการพูดคุยที่สำคัญๆ เท่านั้น
ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต บอกว่า ใจความสำคัญของการพบกันวันนี้คือ การฟื้นฟูสถาปนาความสัมพันธ์ใหม่ของทั้งสองประเทศและนำไปสู่การพูดคุยเรื่องการยุติการพัฒนาขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ การพบกันครั้งนี้ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งคู่ โดนัลด์ ทรัมป์สามารถฟื้นฟูภาพลักษณ์ตัวเองจากการประชุม G7 ได้ รวมทั้งภาษากายที่มีการยื่นมือไปก่อน เป็นการสร้างความเป็นกันเอง แล้วภาพที่น่าจะจดจำต้องให้เครดิตกับเจ้าภาพสิงคโปร์ สำหรับโรงแรมคาเปลล่า สังเกตว่าอาคารที่จัดงานจะมีอยู่สองปีก เป็นสัญลักษณ์ว่าผู้นำทั้งสองชาติมาจากปีกคนละด้าน หากมองดูพิกัดแล้วเกาหลีเหนือกับสหรัฐฯนั้นอยู่ห่างกันมาตลอด แต่เดินเข้ามาจากระยะห่างเข้ามาตรงจุดกลางของโรงแรม สื่อถึงมิตรภาพและสันติภาพ กำลังจะเกิดขึ้น สหรัฐฯมีการวางแผนในการในการนำสื่อมวลชนเข้ามาเอง รวมถึงการแถลงข่าว
“ตอนแรกทรัมป์มีอาการสองจิตสองใจในการพูดคุยครั้งนี้เพราะทรัมป์เป็นนักการตลาด หากพูดให้คนฝันในเชิงบวกมากๆแล้วทำไม่ได้จริงตามคาด น้ำหนักหรือความห่อเหี่ยวของคนที่เริ่มอยากสนับสนุน ก็มองว่าไม่เท่าไหร่ แต่พอออกตัวแบบนี้พอทำได้จริงมันหวือหวา มันเหมือนเราดูละครดราม่า มองว่าทรัมป์ประสบความสำเร็จในการแถลง แล้วการแถลงเป็นการโปรยยาหอมให้เกาหลีเหนือให้มีทางออก ว่ายอมเสียสละตัวเองในเงื่อนไขที่ตัวเองมี ไม่คิดว่าทรัมป์จะประดิษฐ์คำพูดได้ไพเราะขนาดนี้ ผมว่าตั้งแต่รับตำแหน่งมาการแถลงครั้งนี้เป็นถ้อยแถลงที่สมบูรณ์แบบที่สุด”
ขณะที่หลังจากการพบกันของสองผู้นำที่มีการข้อตกลงร่วมกัน “ผศ.วันวิชิต” มองว่า ก็ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เป็นสัญญาณเชิงบวกในเรื่องยุทธศาสตร์ความมั่นคง ในการกำจัดหัวรบขีปนาวุธ ต้องใช้เวลานาน ไม่ใช่ใช้เวลาอันสั้น และต้องมีการพูดคุยค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนที่ต้องใช้เวลาอีกนานในการพูดคุย ซึ่งสหรัฐฯบอกว่าไม่จ่าย น่าจะเป็นจีน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ควักกระเป๋าจ่ายกันเอง ตรงนี้คิมจองอึนและพรรคพวกน่าจะมีทางออกว่าจะเดินเกมแบบไหน ว่าตัวเองพร้อมแล้วในการเดินหน้าปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ไม่เห็นมีใครมาช่วย เพราะเขาไม่มีเงินจากการโดนคว่ำบาตร หลังจากนี้จะมีการต่อรองอีกหลายระดับ
“การพูดคุยครั้งนี้สิ่งที่สหรัฐฯกลัว คือ คำถามว่าเมื่อไหร่สหรัฐฯจะพ้นจากคาบสมุทรเกาหลี โดยเฉพาะฐานทัพสหรัฐฯ ซึ่งมีการย้ำว่าจะไม่มีการเอาประเด็นนี้มาพูดคุยกัน เพราะคำถามนี้เป็นคำถามที่ชอบธรรมมาก ในเมื่อเกาหลีเหนือเตรียมปลดอาวุธนิวเคลียร์แล้ว และการประชุมครั้งนี้ก็ไม่ได้มีการหยิบยกประเด็นนี้มาพูด แต่สหรัฐฯควรจะต้องทำอะไรตอบแทนเกาหลีเหนือบ้าง และในอนาคตต้องจับตาคิมจองอึนจะเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ หรือทรัมป์จะเดินทางไปเปียงยาง น่าจะเป็นอะไรที่ยกระดับความสัมพันธ์มากขึ้น ”
ผศ.วันวิชิต ทิ้งท้ายว่า การพูดคุยในการครั้งนี้ ไทยได้ประโยชน์ในครั้งนี้ไม่เยอะ แต่อยากให้ดูวิธีการจัดประชุมผู้นำสุดยอดในครั้งนี้เพราะเป็นช่องทางการแสวงหารายได้ให้ประเทศ หากประเทศมีมาตรฐานในการจัดการประชุม ก็เป็นทางเลือกให้กับหลายประเทศในโลกที่มีความขัดแย้งกัน เพราะมีคู่ขัดแย้งหลายชาติ สิงคโปร์ถือเป็นการนำร่องว่าหากไม่มีที่ประชุมก็ให้ไปสิงคโปร์ ก็จะสร้างมูลค่า พื้นที่ข่าว จนนำไปสู่การเดินทางมาของนักท่องเที่ยว ไทยควรจะดูไว้เป็นตัวอย่าง
ชมคลิปที่นี่... “นักวิชาการ” ชี้ “คิมน้อย” ยอมปลดนิวเคลียร์ จับมือ “ทรัมป์” เพื่อปากท้องชาวโสมแดง